วันพฤหัสบดีที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2557

"Cicchetti" ยกอิตาลีมาไว้กลางห้าง กับสปาเก็ตตี้ล็อบสเตอร์ตัวเท่าบ้าน และไอศกรีมกรุ่นกลิ่นดอกกุหลาบ


ร้าน "Cicchetti" หรือ “ชิเคตติ” เป็นร้านในเครือเดียวกับ “ซินญอร์ ซาสซี่” ที่โรงแรมอนันตรา สาทร อาหารในร้านก็เลยเป็นอาหารอิตาเลียนสไตล์เดียวกับที่ “ซินญอร์ ซาสซี่” เลย แต่ลดพอร์ชั่นให้เล็กลง และราคาถูกลงมาหน่อย แต่ก็อาจจะยังราคาสูงสำหรับบางคน แต่ถ้าเทียบคุณภาพของวัตถุดิบที่ใช้และปริมาณของอาหารที่ได้แล้ว ราคานี้ก็ถือว่าไม่แพง


ร้าน "Cicchetti" เพิ่งเปิดใหม่ไม่กี่เดือน อยู่ตรง "Groove" (กรู๊ฟ) เซ็นทรัลเวิลด์ ตอนเข้าไปในร้าน เห็นแต่ฝรั่งซะครึ่งค่อนร้าน ฟังสำเนียงแล้วก็เป็นคนอิตาเลียนซะด้วย ฉะนั้นคงจะเชื่อใจได้ว่า ร้านอาหารอิตาเลียนที่คนอิตาเลียนแท้ๆ ยังมากิน แปลว่ามันต้องอร่อยแบบอิตาเลียนจริงๆ ไม่อิงรสไทยๆ


เริ่มที่ สองสหายแคนาเดียน ล็อบสเตอร์กันก่อน


Spaghetti with Fresh Canadian Lobster

- จานแรก แค่เรียกน้ำย่อย กับ “Lobster Burger” (ราคา 490 บาท) เป็นเบอร์เกอร์ขนาดกลางๆ ที่อัดเนื้อล็อบสเตอร์คลุกรวมกับมายองเนสไว้ตรงกลาง เสิร์ฟมาพร้อมซอสมาโย เฟรนช์ฟรายกรอบนอกนุ่มใน และสลัดผักสดๆ ขอบอกว่าเนื้อล็อบสเตอร์ที่อยู่ตรงกลางเบอร์เกอร์นั้น ชิ้นใหญ่มากๆ เนื้อแน่นนุ่มหวาน และมายองเนสที่คลุกมาก็รสครีมๆ ดี เมนูนี้ชอบมาก อร่อยเพราะเนื้อล็อบสเตอร์ชิ้นใหญ่เต็มปากเต็มคำ


- อีกจานคือ “Spaghetti with Fresh Canadian Lobster” (ราคา 680 บาท) จานนี้จะหน้าตาคล้ายๆ กับที่ “ซินญอร์ ซาสซี่” แต่ที่ "Cicchetti" พอร์ชั่นจะเล็กลงมาหน่อย และราคาเบากว่าที่ “ซินญอร์ ซาสซี่” เกือบครึ่ง แต่รสชาติอร่อยเข้มข้นไม่มีตก เส้นสปาเก็ตตี้ผัดกับซอสมะเขือเทศข้นๆ และเนื้อล็อบสเตอร์ เป็นสปาเก็ตตี้ที่รสชาติจัดๆ ชัดเจน อร่อยแบบไม่อยากให้มันหมดจานเลย


Lobster Burger

Lobster Burger

Black Truffle Risotto


Agnello a l Fleno


- ต่อมาเป็นริซอตโต้กันบ้าง “Black Truffle Risotto” (ราคา 680 บาท) จานนี้แทบอยากจะกรี๊ดด้วยความอยากกิน ปกติเป็นคนที่ชอบกินริซอตโต้มากๆ อยู่แล้ว เพราะมันครีมมี่ดี แล้วของที่ “ชิเคตติ” มันท้อปด้วย “แบล็ค ทรัฟเฟิล” อันแสนแพงเข้าไปอีก ก็เลยยิ่งเพิ่มทวีความอยากกิน

“ริซอตโต้” จานนี้ที่ "Cicchetti" เค้าจะเอาไปผัดกับหมึกดำของปลาหมึก แล้วก็ใส่เนื้อปลาหมึกหนึบๆ มาด้วย รสชาติก็ครีมมี่สุดๆ สมใจ ทั้งเค็ม ทั้งมัน และมีรสชาติของปลาหมึกกระจายอยู่ในปากด้วย เพราะข้าวมันซีมซับเอากลิ่นและรสของปลาหมึกไว้จนอวบอ้วนเลย เหมือนมีปลาหมึกมาว่ายอยู่ในปากห


- มาถึงจานเนื้อกันบ้าง “Agnello a l Fleno” (ราคา 460 บาท) ซี่โครงแกะย่างแบบสุกกำลังดี เนื้อแกะไม่เหนียวเลย นุ่มมากๆ หั่นง่าย เคี้ยวง่าย ยิ่งราดซอสลงไป ยิ่งเข้มข้น




แล้วก็ตบท้ายด้วยของหวานที่อร่อยจนตัวลอย

- “Rose Ice Cream” (ราคา 60 บาท) ไอศกรีมกุหลาบ ที่หอมกลิ่นกุหลาบกำซาบอยู่ในปาก เหมือนกินน้ำหอมกุหลาบเข้าไป แต่เป็นกลิ่นกุหลาบธรรมชาตินะ ไม่ใช่กลิ่นหอมฉุนๆ แบบน้ำหอมกลิ่นกุหลาบ ที่ไอศกรีมมีรสและกลิ่นของกุหลาบได้ขนาดนี้ เพราะเค้าผสมน้ำมันดอกกุหลาบลงไปด้วย กลิ่นมันเลยละมุนๆ ไม่ฉุนและไม่หอมจนเหม็น


- “Cheese Cake” (ราคา 130 บาท) ตัดกลับมาที่ของหวานอีกชิ้น ชีสเค้กที่เนื้อเนียนนุ่มเบาๆ ไม่แน่นจนเกินไป รสชาติหวานมันเปรี้ยวกลมกล่อมมาก เพิ่ม texture ด้วยอัลมอนด์บดหยาบๆ ที่โรยอยู่ด้านบน และเพิ่มความซับซ้อนของรสชาติด้วยสตรอเบอร์รี่ซอสเปรี้ยวๆ หวานๆ อร่อยกว่าชีสเค้กเจ้าดังๆ บางเจ้านะ


Cheese Cake

Rose Ice Cream


ขนมปังเสิร์ฟให้ฟรีทุกโต๊ะ



ถ้ามากินคนเดียว สั่งจานเดียวบวกกับของหวานอีกสักจาน ก็อิ่มและอร่อยแล้วล่ะ ในงบประมาณพันติ๊ดๆ (ซึ่งอาจจะกินได้ไม่บ่อยนัก)



ร้านลับในซอกหลืบ อร่อยแบบโอต์ กูตูร์ สมกับที่เดินตามหาอยู่นาน

 

เรื่องมันเริ่มมาจากได้ไปเห็นรูปขนมบราวนี่ราดครีมของร้านนี้ในอินสตาแกรม เข้า มันเลยทำให้บังเกิดความอยากจะกินขึ้นมาสุดๆ เลยไปค้นหาข้อมูลว่าร้านนี้มันตั้งอยู่ ณ ที่ใดในปฐพี

ก็ได้ความมาว่า ร้าน "WWA" แท้จริงแล้วหาใช่ร้านขนมไม่ แต่จริงๆ แล้วมันคือห้องเสื้อของไทยดีไซเนอร์ระดับหัวกะทิไรงี้ แต่ว่าเค้ามีโซนที่เปิดเป็นคาเฟ่เล็กๆ ภายในห้องเสื้อด้วย ตามพิกัดบอกว่าร้านอยู่ที่สยามสแควร์ซอย 7 ใกล้กับร้านสเวนเซนส์ 





และเมื่อเราไปถึงสยามสแควร์ เราก็ดั้นด้นค้นหาสยามสแควร์ซอย 7 ทันที ด้วยว่าไม่เคยจะสนใจจำเลขซอยของสยาม สแควร์มาก่อน เลยไม่ค่อยจะรู้ว่าซอยไหนมันอยู่ตรงไหน ก็เลยคิดเอาเองว่าซอย 7 มันคงอยู่ท้ายๆ ถนนแถวๆ แยกเฉลิมเผ่ามั้ง แถวๆ ซอยโรงแรมโนโวเทลไรงี้ ปรากฏว่าตรงนั้นมันสุดอยู่ที่ซอย 6 เท่านั้นล่ะจ้า!!!


ก็็เลยตั้งต้นเดินหาใหม่ ที่ฝั่งตรงข้าม แต่ปรากฎว่ามันก็ยังไม่มีซอย 7 จ้า เพราะซอยฝั่งตรงข้ามเริ่มที่ซอย 9 กันเลย เอาล่ะสิ มันอยู่ที่ไหนกันล่ะ ซอย 7 !!???


เดชะบุญที่พอจะจำได้ว่าสเวนเซนส์มันอยู่ตรงตึกที่เป็นเวิ้งๆ เข้าไประหว่างธนาคารกสิกรไทยกับโบนันซ่า ก็เลยลองมุ่งหน้าไปแถวๆ นั้น แล้วก็โทรถามที่ร้าน ได้ความว่า "ซอยตรงกลางสยามสแควร์ คือซอย 7 ค่ะ (ถึงตรงนี้นึกในใจ ว่าใครมันเป็นคนตั้งเลขซอยฟระ)….เวิ้งตรงข้างๆ ธนาคารกสิกรนะคะ ไปถึงแล้วเงยหน้าขึ้นมองนะคะ จะเห็นชื่อร้านอยู่บนชั้น 3 ของตึกค่ะ" 

 


Warm Rum Chocolate Brownie & Cream Shot


ค่ะ และเมื่อไปถึงยังเวิ้งนั้้น เราก็เงยหน้าขึ้นไปมอง แล้วก็เห็น!!! เห็นป้ายค่ะ มันเป็นป้ายไปเล็กๆ เขียนว่า "WWA" ติดอยู่ที่กระจกหน้าต่างบานเล็กๆ บนชั้น 3 ของตึกนั้นค่ะ มันเป็นตึกที่เกือบจะร้างค่ะ เราจึงเดินไปที่ทางเข้า ที่ไม่บอกไม่รู้ว่าเป็นทางเข้า แล้วก็ปีนบันไดชันๆ ขึ้นไปอีกสองชั้น ไปเจอประตูกระจกใสๆ ที่หนักมาก และต้องค่อยๆ ปิดเบาๆ นะคะ เพราะมันจะดีดตัวแรงและเสียงดังมาก ราวกับประตูจะพังทลายลงมา

ไปถึงก็จะเจอกับโซฟาอยู่สองชุดเท่านั้นค่ะ มีที่นั่งให้แค่นั้น แล้วก็จะมีคนมารับออร์เดอร์เรานะคะ ไม่แน่ใจว่าเป็นหนึ่งในดีไซเนอร์ของห้องเสื้อด้วยรึเปล่า แต่เค้าแต่งตัวแซ่บมากค่ะ ใส่สร้อยของ "เอก ทองประเสริฐ" ด้วย (ดีไซนเนอร์ไทยที่ดังมากคนหนึ่ง) เริ่ดมาก


มาถึงขนม เนื่องจากตั้งมั่นว่าจะต้องกิน บราวนี่ที่เห็นในอินสตาแกรมให้ได้ จึงไม่รอช้าสั่ง "Warm Rum Chocolate Brownie & Cream Shot" (ราคา 160 บาท) มันเป็นบราวนี่นุ่มๆ หนืดๆ ขมนิดๆ ใส่มาในแก้วก้นลึก แล้วราดด้วยครีมอุ่นๆ เค็มๆ ม้นๆ ผลก็คือ บราวนี่มันเมลท์ มันฉ่ำเยิ้มมากๆ มันหวานๆ เค็มๆ มันๆ มันครีมมี่มากๆ มันอร่อยมากที่สุดเท่าที่เคยกินบราวนี่มาเลยแหละ ให้ 10 ดาวเลยนะ สำหรับบราวนี่ ไม่เสียแรงที่อุตส่าห์ดั้นด้นค้นหาร้าน


ต่อมาเป็นชองโปรดอันดับสอง (รองจากมาการอง)

"Scone, Clotted Cream & Mixed Berry Jam/ Rhubarb Rose Water Jam" (ราคา 150 บาท) สโคนที่นี่ก้อนใหญ่มาก และเนื้อค่อนข้าง juicy ไม่ใช่แบบแห้งๆ เหมือนบางร้าน บิออกมาแล้วตักคลอตต์ครีมมาทา อร่อยลืมอ้วนเลยนะ คลอตต์ครีมที่นี่อร่อยมากๆ เนื้อมันเนียนแน่น ไม่ใช่ครีมโปร่งๆ เหมือนวิปครีมแบบที่เคยกินมา แล้วก็มีความเค็ม ความมัน ความครีมมี่กำลังดี อันนนี้ก็ให้ 10 ดาว


อีกอันเป็นขนมหวานกันบ้าง "Fig Almond Clayfouti, Brown Sugar Plum Apple Compote with Whipped Cream" (ราคา 160 บาท) เป็นขนมอบที่ผสมลูกฟิก ราดด้วยแอปเปิ้ลคอมโพท แล้วโปะด้วยวิปครีม รสชาติจะหวานอมเปรี้ยวๆ นิดๆ เนื้อขนมนุ่มมาก แต่ยังไม่ใช่ขนมที่ทำให้หลงไหลใฝ่ฝันได้เท่าสองอันแรก แต่อันนี้ก็แล้วแต่ความชอบของคนด้วยนะ คนอื่นไปกิน อาจจะชอบขนมนี้มากๆ ก็ได้ค่ะ 

 


Scone, Clotted Cream & Mixed Berry Jam

ส่วนเครื่องดื่ม เพื่อดับเลี่ยน เราจึงสั่งอะไรที่เปรี้ยวๆ แทนที่จะเป็นพวกกาแฟ หรือเครื่องดื่มนมๆ

"Pink Lemonade" (ราคา 90 บาท) สีชมพูสวยเชียว เปรี้ยวซ่า มีเลมอนฝานด้วย รสชาติเข้มข้น อร่อยเริด


"Raspberry Smoothies" (ราคา 100 บาท) ราสพ์เบอร์รี่ผสมกับโยเกิร์ตปั่นจนเนื้อเนียน เป็นสมูทธีส์ที่รสชาติกำลังดี ไม่เติมแต่งอะไรเพิ่ม เป็นรสชาติของโยเกิร์ตกับราสพ์เบอร์รี่เพียวๆ คนที่ไม่ชอบน้ำตาล น่าจะยิ้มเลย ถ้าได้ชิมแก้วนี้ เพราะมันไม่หวานจัด



สรุปว่า "WWA" นี้ คุ้มค่ากับการเดินตามหาจนแทบจะถอดใจ และคุ้มค่าต่อการเดินขึ้นบันไดตึกร้างมาสองชั้นจริงๆ ค่ะ


เป็นคาเฟ่ที่ทำขนมแบบงานประะณีต งานสั่งตัด ไม่ใช่งานขนมแมสๆ แบบขนมโรงงาน ซึ่งก็เปรียบได้กับงานของห้องเสื้อโอต์ กูตูร์อะไรประมาณนั้นอ่ะนะ และนอกจากขนมแล้ว ที่นี่ยังมีอาหารจานเดียวด้วยนะ เดี๋ยวคราวหน้าว่าจะไปลองซะหน่อย


คนรักขนมควรไปลองนะคะร้านนี้ 



Pink Lemonade



Raspberry Smoothies



Fig Almond Clayfouti, Brown Sugar Plum Apple Compote with Whipped Cream






บราวนี่ฉ่ำเยิ้มและวอร์มครีมรสเข้มข้น


วันพฤหัสบดีที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2556

"Aston Dining Room" Chef Table ที่สร้างความตื่นเต้นว่าจานต่อไปจะเป็นอะไรกันน้า!!!


ไม่รู้มีใครเป็นเหมือนกันมั้ย เวลาไปร้านอาหารที่เรารู้สึกว่าเค้าครีเอตเมนูต่างๆ ได้น่าสนใจ แบบจับเอานู่นมาผสมนี่ แล้วมันออกมาเป็นเมนูที่เราไม่เคยรู้จักมาก่อน เราก็จะตื่นเต้นๆ ว่าเอ๊ะๆ จานที่กำลังมาเสิร์ฟนี้มันจะหน้าตาและรสชาติเป็นยังไงมั่งนะ แล้วจานต่อไปล่ะ


ได้ยินชื่อ "Aston Dining Room" มาสักพักนึงแล้ว แต่ตอนแรกไม่รู้ข้อมูลว่าร้านนี้เป็นร้านแบบ Chef Table ที่ "ควรจะ" โทรมาจองก่อน แล้วเชฟจะเซ็ตอาหารไว้ตามจำนวนคนที่โทรมาจอง จะมีเผื่อๆ ไว้สำหรับคนที่วอล์ค อินบ้าง แต่คิดว่าไม่น่าจะเยอะ


ก็เลยมีข้อควรรู้ของร้านนี้มาบอกกัน เพื่อว่าใครอยากจะลองไปชิมกันดู

1. ร้านนี้เป็น เซ็ตเมนู มีทั้งหมด 5 คอร์ส รวมอาหารเรียกน้ำย่อย และของหวานล้างปากอีก 2 อย่าง
เป็น 7 อย่าง ราคา 2,800 บาท++/คน (ไม่รวมเครื่องดื่ม มีให้แต่น้ำเปล่า)



2. ไม่มี a la carte หรืออาหารจานเดียวให้สั่งเป็นจานๆ และเซ็ตเมนูจะยืนพื้นอยู่อย่างนั้นทั้ง 5 จาน จนกว่าจะหมดฤดูกาล จึงจะเปลี่ยนเป็นเมนูใหม่ๆ ที่เหมาะกับฤดูกาล


3. ควรจะโทรจองล่วงหน้า และแจ้งด้วยว่า แพ้อาหารอะไรเป็นพิเศษรึเปล่า หรือไม่กินอะไร เชฟจะได้หาเมนูที่เหมาะกับเรามาให้แทนเมนูที่เค้ามี



เมนูอาหาร

- จานเรียกน้ำย่อย เค้าจะเสิร์ฟมาให้อุ่นเครื่องก่อน เป็นคำเล็กๆ เสียบไม้มาให้กินง่ายๆ มีเซอร์ราโน่แฮมของสเปน อันนี้กินแล้วรู้สึกรสชาติเหมือนแหนม, เบบี้ สควิด หรือปลาหมึกตัวเล็ก เนื้อเหนียวนุ่มเคี้ยวมันดี, แฮมกับแป้งคล้ายๆ วัฟเฟิล อันนี้ฟังเชฟบอกไม่ทันว่ามันเรียกว่าอะไร


- Salmon, Aruvga, Ikura, Eggs, Wildrice - แซลมอนกราวาแลกซ์เริงระบำบนข้าวป่า
นางเอกของจานนี้ Gravlax หรือแซลมอนสดปรุงรส มันจะออกแนวคล้ายๆ แซลมอนรมควัน แล้วรอบๆ ก็มีแรดดิชสไลซ์บางเฉียบ, อิคุระ, คาร์เวียร์, ใบมัสตาร์ด และ Wildrice ที่เป็นเหมือนข้าวพองกรอบๆ อร่อยดี จานนี้ต้องกินทุกอย่างในจานรวมกันให้ได้ในคำเดียว แล้วมันจะมีทั้งความกรอบจาก Wildrice ความนุ่มจากแซลมอน ความหนุบของอิคุระ (ไข่ปลาแซลมอน) ส่วนรสชาติก็ออกแนวสดชื่น


- Tiger Prawn, Capellini, Mentaiko, Wakame, Prawn Oil - คาเปลลินีผัดกับน้ำมันกุ้ง
เส้นคาเปลลินี่ หรือเส้นแองเจิล แฮร์ ผัดกับน้ำมันกุ้ง, กุ้งฝอยตัวเล็กๆ ทอดกรอบ, หอมใหญ่ดองกรอบๆ เปรี้ยวๆ, วากาเมะ และไข่ปลาเมนไตโกะ (หรือที่คนไทยชอบเรียกว่าไข่กุ้ง) เสิร์ฟมาพร้อมกับกุ้งลายเสือตัวโตม้ากกก และเนื้อแน่นมาก

จานนี้อร่อย 5 ดาวเลยทีเดียว เพราะเส้่นคาเปลลินี่เป็นแบบ al dante หนึบๆ แล้วก็มีความกรอบๆ ของกุ้งฝอยมาเสริม ส่วนรสชาติจะไปทางเค็มๆ มันๆ เข้มข้่นจากน้ำมันกุ้ง ที่เอาเปลือกและหัวกุ้งมาผัดๆ จนได้น้ำมันกุ้งสีแดงๆ


- Quail & Foie Gras, Barley, Moral, Asparagus, Quail Tea  - นกกระทา - ตับห่าน
นกกระทากับตับห่าน เซียร์มาแบบกรอบนอกนุ่มในสุดๆ รองจานมาด้วยข้่าวบาร์เลย์กับเห็ดป่าที่ปรุงแบบริซอตโต้ เหนียวนุ่มเค็มๆ มันๆ และแอสพารากัสผัดกับเนย แถมด้วยซุปนกกระทาให้ซดคล่องๆ คอ

จานนี้ก็ชอบมากๆ อีกเช่นกัน เพราะนกกระทากับหนังของมันจะกรอบๆ ส่วนเนื้อก็ไร้ไขมัน ฟัวกราส์ก็ชิ้นใหญ่ เซียร์มากรอบนอก แต่เนื้อในยังฉ่ำๆ นุ่มๆ ข้่าวบาร์เลย์กับเห็ดป่าก็หอมเนย เคี้ยวแล้วหนุบๆ


- Yarra Valley Lamb, Eggplant, Tomato, Mustard Seed, Red Wine - แกะย่างกับมะเขือม่วงไหม้
จานนี้สุดครีเอต และไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน เพราะมันคึือซี่โครงแกะย่างกับซอสไวน์แดง เสิร์ฟพร้อม "มะเขือม่วงไหม้" เป็นมะเขือม่วงไหม้ที่เอามาผสมกับผงแป้งแล้วคนจนกลายเป็นครีมรสชาติมันๆ หวานๆ และเพิ่มรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ให้รสชาติด้วยเม็ดมัสตาร์ดกองเล็กๆ


- Passion Fruit - Tropical Flavour ไอศกรีมทะเลใต้
ของหวานรสชาติสดชื่น เหมือนอยู่กลางทะเลใต้ เพราะเป็นไอศกรีมรสเสาวรสเปรี้ยวอมหวาน เสริมทัพด้วยมะม่วง สับปะรดย่างไฟ และกีวีช่วยล้างปากจากของคาว แล้วยังมีครีมคัสตาร์ด กับครัมเบิ้ลกรอบๆช่วยสร้างความแตกต่างให้ texture ด้วย



ไปร้านนี้จะสนุกมากตรงที่เราจะได้เห็นการทำงานของเชฟอย่างใกล้ชิดทุก ขึ้นตอน เพราะเค้าจะมาปรุงอาหาร และจัดจานตรงหน้าเราเลยทีเดียว และแต่ละจานก็ประดิดประดอยกันสุดๆ และถ้าเราอยากรู้ว่าวัตถุดิบในจานเป็นอะไรบ้าง เราก็สอบถามเชฟได้เลย


อยากให้ไปลองกันจัง เหมือนไปผจญภัยเลยแหละ ส่วนเรื่องราคาถ้าดูเผินๆ จะรู้สึกว่าแพง แต่ถ้าเทียบกับ Chef Table ที่อื่นแล้ว ถือว่าถูกมากๆ เพราะที่อื่นอื่นสามพันขึ้นไปจนถึงเจ็ดพันทั้งสิ้น แพร์ว่ามันค่อนข้างดีกว่าคอร์สเมนูตามโรงแรมห้าดาวบางแห่งอีกนะ



จานเรียกน้ำย่อย

Salmon, Aruvga, Ikura, Eggs, Wildrice - แซลมอนกราวาแลกซ์เริงระบำบนข้าวป่า

Tiger Prawn, Capellini, Mentaiko, Wakame, Prawn Oil - คาเปลลินีผัดกับน้ำมันกุ้ง

Capellini, Mentaiko, Wakame, Prawn Oil - คาเปลลินีผัดกับน้ำมันกุ้ง

     
Tiger Prawn กุ้งลายเสือ

Quail & Foie Gras, Barley, Moral, Asparagus, Quail Tea  - นกกระทา - ตับห่าน

ข้างในเป็นข้าวบาร์เลย์กับเห็ดป่า

Yarra Valley Lamb, Eggplant, Tomato, Mustard Seed, Red Wine - แกะย่างกับมะเขือม่วงไหม้

ครีมสีดำๆ คือ มะเขือม่วงไหม้ และซอสสีน้ำตาลด้านขวา คือซอสไวน์แดง

Passion Fruit - Tropical Flavour ไอศกรีมทะเลใต้

บรรยากาศครัวเปิด

เห็นเชฟทำอาหารอย่างใกล้ชิด

บรรยากาศชั้น 2 ของร้าน


บรรยากาศชั้นล่างของร้าน









วันพุธที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2556

Sushi Hiro ใครว่าร้านอาหารญี่ปุ่นอร่อยๆ กระจุกตัวอยู่แต่ในเมือง


Lobster Sashimi


มักจะชอบได้ยินคนพูดกันว่า ร้านอาหารญี่ปุ่นอร่อยๆ มักจะกระจุกตัวอยู่แต่ในเมืองเท่านั้น โดยเฉพาะในย่านที่มีคนญี่ปุ่นอยู่อาศัยเยอะๆ เช่น ทองหล่อหรือพร้อมพงษ์ อะไรแบบนี้

แต่จริงๆ แล้วย่านชานเมืองก็มีร้านอาหารญี่ปุ่นอร่อยๆ ซ่อนตัวอยู่หมือนกันอย่าง “Sushi Hiro” นี่แหละ เป็นร้านที่ต้องมาร์คไว้เลยว่า แม้จะไกล (สำหรับหลายๆ คน) แต่ก็คุ้มที่จะมา และแม้ว่าเมื่อได้เห็นราคาของอาหารแล้ว อาจจะคิดว่าแพงจังเลย แต่ถ้าได้เห็นหน้าตาของอาหาร และได้ลิ้มรสชาติของมันแล้ว จะต้องบอกว่าสมราคา เพราะของเค้าสดจริงๆ

อย่าง “Fresh Canadian Lobster” + “Stir Fried Lobster with Butter” (ราคา 1,400 บาท) เป็นเมนูที่สั่ง 1 ได้ถึง 2 เพราะว่าเชฟจะเอาเนื้อของล็อบสเตอร์มาทำซาชิมิ 1 จาน แล้วก็เอาส่วนต่างๆ ของล็อบสเตอร์ที่เหลือจากการทำซาชิมิ ไปผัดกับเนย แล้วเสิร์ฟมาพร้อมกับผักต่างๆ เช่น เห็ดออรินจิ และหน่อไม้ฝรั่งอีก 1 จาน

จานที่เป็นซาชิมิ อยากจะบอกว่า เนื้อล็อบสเตอร์มันเด้งมากๆ ไม่คาวเลยแม้แต่นิดเดียว เนื้อล็อบสเตอร์จะออกหวานนิดๆ ตามธรรมชาติ จริงๆ ไม่ต้องจิ้มกับอะไรก็อร่อย แต่ถ้าชอบจิ้มโชยุ ก็อย่าลืมกินกับวาซาบิสดที่เค้าเสิร์ฟมาให้คู่กัน

ส่วนจานที่เป็นก้ามล็อบสเตอร์ผัดเนย เนื้อจะเหนียวนุ่มมากๆ เชฟกระเทาะเปลือกของก้ามมาให้แล้วเรียบร้อยด้วย ก็เลยกินง่ายหน่อย จานนี้รสชาติจะออกเค็มๆ มันๆ และมีรสหวานตามธรรมชาติของเนื้อล็อบสเตอร์


ส่วนเมนูซูชิ ถ้าใครชอบกินฟัวกราส์ อยากจะแนะนำให้ลอง “Salmon Foie Gras Roll” (ราคา 650 บาท) มันเป็นซูชิที่อยากจะหลับตาพริ้มตอนกินเข้าไปจริงๆ เลย เพราะว่าแซลมอนที่เบิร์นไฟมานิดๆ นั้น ก็นุ่มมากๆ พอกัดเข้าไปข้างในไส้ ก็จะเจอกับความนุ่มของฟัวกราส์ชิ้นโตๆ และอะโวคาโด ยิ่งพอเอาไปจิ้มกับน้ำจิ้มที่เค้าราดมาให้บนจานที่รสชาติหวานๆ เค็มๆ ก็จะยิ่งอร่อย รสชาติโดยรวมของจานนี้คือหวานเค็มมัน และแฝงด้วยรสชาติเฉพาะตัวของฟัวกราส์กับแซลมอน


ทั้งสองจานนี้เห็นเขียนไว้ในเมนูว่าเป็น “Chef Recommend” ด้วยแฮะ แล้วเท่าที่ดูจากรีวิวอื่นๆ คนก็สั่งกันค่อนข้างเยอะด้วย




**** ส่วนการเดินทาง ใครที่ไปไม่ถูก สามารถไปได้สองเส้นทาง คือ

- มาทางเส้นถนนรามอินทราตามปกติ ขับเลยกิโล 5 มาสักพัก จนเห็นซอยวัชรพล ก็แสดงว่าใกล้จะถึงแล้วแหละ แล้วพอถึงแยกที่มีทางด่วนรามอินทรา-อาจณรงค์พาดผ่าน แปลว่านั่นแหละถึงละ ชิดซ้ายเลย พอผ่านสี่แยกแล้วจะเจอซอยรามอินทรา 57 อยู่ห่างจากสี่แยกไปแค่ 10 เมตรเท่านั้น

- มาทางเส้นเลียบด่วนรามอินทรา จากเอกมัยสามารถขับตรงไปเรื่อยๆ จนมาเจอแยกที่ตัดกับถนนรามอินทรา ก็ให้เลี้ยวขวา แล้วสังเกตด้านซ้ายมือ จะเห็นเวิ้งของร้าน Niku King ซึ่งเป็นเครือเดียวกันกับ Sushi Hiro


ร้านอยู่ติดๆ กับสี่แยกเลย โปรดชะลอรถดีๆ ระวังจะขับเลย (เพราะเราขับเลยมาแล้ว) แต่หากขับเลย ก็เข้าซอยข้างๆ แล้วลัดมาออกซอย 57 ได้


****



Fresh Canadian Lobster + Stir Fried Lobster with Butter


Stir Fried Lobster with Butter


      
Lobster Sashimi

Salmon Foie Gras Roll

Salmon Foie Gras Roll ไส้ในเป็นฟัวกราส์และอะโวคาโด


หน้าร้าน






วันอาทิตย์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2555

Burger Factory เบอร์เกอร์ตามสั่ง ที่เราได้กินแบบชิ้นใหญ่ๆ เนื้อล้วนๆ




ช่วงนี้ห่างหายจากบล็อกไปนานมากๆ
เพราะเพิ่งเปลี่ยนงานใหม่ค่ะ


และตอนนี้งานประจำก็ได้เป็นงานที่เกี่ยวข้องกับเรื่องอาหารอย่างเต็มตัวเเล้ว


ตอนนี้แพร์ไปทำงานเป็น  Chief Editor ให้กับเว็บไซต์รีวิวอาหารแห่งหนึ่งนะ ลองหาๆ ดู บางคนที่มาอ่านที่นี่ ก็อาจจะเป็นสมาชิกของเว็บนั้นแล้วด้วยซ้ำ และอาจเห็นแพร์เป็น user แนนะนำของเว็บนั้นนะ อย่าลืมทักทายกันค่ะ


และด้วยเหตุนี้


บางร้านที่คัดเอามาลงในบล็อกนี้ จึงเป็นร้านที่ได้ไปชิม ไปถ่ายรูปมาเพราะทำงานอีกแล้ว แต่จะคัดมาเฉพาะร้านที่คิดว่าอร่อย และตัวเองชอบจริงๆ เป็นหลักค่ะ


จะลงคละๆ กับร้านที่ไปกินมาเองจริงๆ ด้วย


อย่าลืมติดตามอ่านกันเหมือนเดิมนะคะ


จะพยายามอัพให้มันบ่อยขึ้น




 กลับมมาคราวนี้ จะพาไปเยี่ยม Burger Factory  ปากซอยเอกมัย 10 กันนะ



Grilled Salmon Burger 225 บาท
Burger Factory เป็นร้านเบอร์เกอร์ที่เปิดมาได้สักพักนึงแล้ว ยังไม่ถึงปี มาเปิดแทนที่ร้านเครื่องครัวตรงข้างๆ ร้านประตูสีฟ้า ร้านประจำของเราที่เอกมัย ช้อปปิ้ง มอลล์ ปากซอยเอกมัย 10 ได้มีโอกาสไปถ่ายรีวิวให้เค้ามา


ถ้าใครชอบกินเบอร์เกอร์แบบประณีตๆ เนื้อล้วนๆ ไม่มีหัวหอม ขนมปัง หรือมันหมูผสมจนเนื้อเบอร์เกอร์แทบจะไม่เป็นชิ้นเป็นอัน เราว่าร้านนี้น่าลองมากนะ


เลือกเบอร์เกอร์ของ Burger Factory มาแนะนำ เพราะชอบแนวคิดที่ว่า


1. เค้าบดเนื้อกันสดใหม่วันต่อวัน รอบต่อรอบ ขายบ่ายบดเนื้อตอนสายๆ เที่ยงๆ ขายค่ำๆ ดึกๆ ก็บดเนื้อกันตอนบ่ายๆ แล้วเนื้อที่จะเอามาบด ก็จะเอามาหั่นเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมลูกเต๋าก่อน แล้วจึงค่อยเอาไปบด เนื้อที่บดออกมาเลยยังมีความชุ่มฉ่ำ juicy อยู่  แล้ววีธีการปั้นเนื้อ ก็จะฟาดเนื้อกับมือจนเนื้อเหนียวจับตัวกันเป็นก้อนได้ แล้วจึงขึ้นรูปเป็นชิ้นเบอร์เกอร์กลมๆ รอเวลาย่างบนเตาไฟ 


2. ข้อที่ดีที่สุดของเบอร์เกอร์ที่นี่คือ เค้าจะย่างเนื้อเบอร์เกอร์กันจานต่อจาน เราสั่งเค้าถึงจะย่าง ดังนั้นเราเลยสั่งได้ว่าเราอยากให้เนื้อมันสุกมาก สุกน้อย ดิบๆ หน่อย หรือสุกๆ ดิบๆ เหมือนกับการกินสเต็กนั่นแหละ


3. ในเบอร์เกอร์แต่ละจานที่เค้าเสิร์ฟมา มันจะมีท้อปปิ้ง และเครื่องเคียงต่างๆ ที่จัดมาเต็มมาก และหลากหลายชนิดด้วย ท้้ง เกาด้าชีส กรูแยร์ชีส Onion Caralmelized หรือหอมหัวใหญ่ที่เอาไปผัดกับครีม หรือ BF Sauce ซอนสีส้มสูตรพิเศษที่ใช้ท้อปปิ้งลงบนเเบอร์เกอร์ เพื่อเพิ่มรสชาติความอร่อย



     The Factory Burger ราคา 290 บาท


เบอร์เกอร์ที่เป็น Signature  ของเค้าคือ "The Factory Burger" (ราคา 290 บาท) เบอร์เกอร์เนื้อที่โปะหน้าด้วยเกาด้า ชีส และ กรูแยร์ ชีส แถมด้วยเบคอนกรอบๆ และเคิร์ลลี่ ฟราย


แต่ถ้าไม่กินเนื้อเหมือนเรา ก็มีเบอร์เกอร์หมู และเบอร์เกอร์ปลาซัลมอนให้สั่งด้วยเหมือนกัน ซึ่งเบอร์เกอร์ปลาซัลนี่ก็แปลกดี ไม่ค่อยเห็นมีที่ไหนใช้ปลาซัลมอนล้วนๆ มาทำเป้นเบอร์เกอร์เท่าไหร่ จะเห็นแต่ค้อด หรือปลาดอลลี่มากกว่า



The Petty Melt  ราคา 300 บาท


ที่เราชอบอีกสองอย่างที่ร้านนี้คือเครื่องดื่มที่ครีเอตมากๆ กับขนมหวานที่มีเพียงอย่างเดียวให้เลือก


ชอบเครื่องดื่มเพราะเค้าเข้าใจจับนู่นมาผสมกับนี่ น่าสนุกดี คนกินสั่งไปก็ตื่นเต้นไป ว่าไอ้ที่สั่งไปนี่มันจะออกมาหน้าตาและรสชาติเป็นยังไงนะ



Frozen Mojito Mocktail ราคา 120 บาท


Summer Brew ราคา 85 บาท



ที่ได้มีโอกาสลองคือ "Summer Brew" กับ "Frozen Mojito Mocktail"


แก้วแรกเป็นรูทเบียร์ผสมกับพีช ไซรัปที่หอมกลิ่นพีชมากๆ  ใบสะระแหน่ (มีคนบอกว่าเรียกใบมินท์จะเก๋กว่านะเออ แต่มันอยากเรียกแบบไทยๆ อ่ะ จะทำไม) "Summer Brew" (ราคา  85 บาท) เป็นเครื่องดื่มที่น่าสนใจที่เอารูทเบียร์กลิ่นแรงๆ เหมือนกลิ่นยาหม่องมาผสมกับสิ่งที่มีกลิ่นอ่อนหวานอย่างน้ำเชื่อมพีช และกลิ่นสดชื่นอย่างสะระแหน่ แล้วความเป็นรูทเบียร์ก็ยนังอยู่ แต่แอบมีรสหอมหวานของพีชติดมาด้วย อร่อยและสดชื่นดี


ส่วน "Frozen Mojito Mocktail" (ราคา 120 บาท)เป็นน้ำมะนาวที่ปั่นมะนาวลงไปทั้งเปลือก ผสมกับใบสะระแหน่ และน้ำเชื่อม รสชาตืเปรี้ยวๆ และเค็มนิดๆ จากเกลือตรงปากแก้ว หอมใบสะระแหน่ แก้วนี้ดื่มแล้วจะสดชื่นมากๆ เหมืิอนไปเดินอยู่ริมทะเล



Chocolate Lava ราคา 200 บาท


อย่างสุดท้ายที่ชอบ ทร่บอกไปตะกี๊ ก็คือ "ขนม" ซึ่งที่นี่มีอยู่แค่เมนูเดียวเท่านั้น นั่นคือ "ช็อกโกแลตลาวา" (ราคา 200 บาท) เราชอบมากกว่าช็อกโกแลตลาวาที่ร้านขนมโดยตรงอีกนะ ชอบเพราะข้างนอกมันจะกรอบๆ แต่ซอสช้อกโกแลตด้านในเยอะและเยิ้มมากๆ รสชาติหวานๆ ขม เข้มข้นจริงๆ เรากินแบบแทบจะเลียจานเลยแหละ


แต่ราคาเบอร์เกอร์เค้าอาจจะสูงนิดนึงนะ จานละ 200 - 300 บาท…..แต่เป็นราคาสูงที่เหมาะสมกับคุณภาพของอาหารนะ และเมื่อคืดดูดีๆ เราจะพบว่า เราเท่านี้ก็เท่าราคาคอมโบเซ็ทของเบอร์เกอร์ฟาสท์ฟู้ดเหมือนกัน ซึ่งที่นี่ท้อปปิ้ง และเครื่องเคียงดีกว่าด้วยซ้ำ แถมยังสั่งให้เพิ่ม ให้ลด สั่งสุกสังดิบได้ดั่งใจอีกด้วย ก็เลยคิดว่า อาจจะดูเหมือนจ่ายแพงกว่าแต่ก็คุ้มนะ


ลองไปกินกันดู


สำหรับเราชอบเบอร์เกอร์ปลาซัลมอนที่สุดเลย


 The Factory Burger ที่สั่งแบบ Medium Rare


Grilled Salmon Salad ราคา 225 บาท สเต็กปลาซัลมอนเนื้อแน่นๆ


Crispy Sticky Wing ราคา 165 บาท