วันอาทิตย์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ประตูสีฟ้า / บลูดอร์ : ชื่อไหนก็น่านั่งเหมือนกันหมด

มีใครเป็นเหมือนกันมั้ย ที่ไม่ชอบไปผับ ไม่ชอบนั่งร้านที่มันคนพลุกพล่าน เสียงดังๆ เพราะว่ามันทำให้คุยกับเพื่อนที่ไปด้วยไม่รู้เรื่อง ก็กว่าจะที่เพื่อนทุกคนจะหาเวลาว่างมาเจอกันได้ มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ น่ะ แล้วมาถึงจะให้มานั่งมองหน้ากันอย่างเดียว แล้วก็กินๆ เสร็จแล้วก็แยกย้ายกันกลับบ้าน ก็ดูไม่ค่อยได้ใกล้ชิดกันเลยเนอะ


ไปมาหลายที่แล้ว ก็ยังไม่เป็นที่น่าพอใจ สุดท้ายมาลงตัวที่ร้าน “ประตูสีฟ้า” หรือ “บลูดอร์” (Blue Door) ร้านหนังสือที่ขายอาหารและเครื่องดื่ม เอ๊ะ หรือว่าจริงๆ คือ ร้านอาหารและเครื่องดื่ม ที่ขายหนังสือดีหว่า.....สรุปว่ามันมีทั้ง 3 อย่าง อยู่ร้านเดียวก็แล้วกันนะ


เพราะว่า “ประตูสีฟ้า” ขายอาหารจานเดียว และกับข้าวง่ายๆ  กับเครื่องดื่มต่างๆ ที่มีทั้งจำพวกกาแฟ โกโก้ และสมูทธี ดึกๆ ก็สั่งเบียร์มาดื่มกันได้ ถ้าไม่กินของมึนเมา สั่ง "น้ำแตงโมปั่น" กับ "สตรอเบอร์รี่ สมูทธี" มากินแทนก็ได้ ชื่นใจดี 


ส่วนอีกซีกหนึ่งของร้าน กับตามมุมต่างๆ ก็แบ่งไว้ให้ชั้นวางหนังสือมากมายนานาชนิด  หนักไปทางหนังสือนอกกระแส หนังสือทำมือ และหนังสือแปลของสำนักพิมพ์ที่เราไม่ค่อยได้ยินชื่อ เอาเป็นว่าหนังสืออะไรที่หาไม่ค่อยได้ตามร้านหนังสือดังๆ ทั่วไป ที่นี่อาจมีให้ ใครอยากได้หนังสือหายาก ลองมาที่นี่ อาจจะเจอก็ได้




ส่วนอาหารที่ “ประตูสีฟ้า” ก็ไม่ได้เป็นอาหารวิลิศมาหราอะไรหรอกนะ มันก็เป็นอาหารที่เราสามารถหากินได้ที่ร้านอื่นๆ จำพวกข้าวผัดต่างๆ ยำโน่นยำนี่ ต้มจืด ต้มยำ พวกของทอด แต่ทำไมพอตอนที่กินเข้าไป มันถึงรู้สึกว่าอร่อยมากก็ไม่รู้แฮะ อาจเป็นเพราะว่ามากินกับเพื่อนๆ กลุ่มที่มีความสุขเวลาอยู่ด้วยกันก็เป็นได้ แต่จะว่าไปถึงแม้อาหารจะดูธรรมดา หาได้ทั่วไป แต่แม่ครัวที่นี่ เค้าก็ปรุงรสชาติได้ดีนะ ไม่ใช่อะไรๆ ก็หนักหวาน หรือสัมผัสได้ถึงการใช้ผงชูรสแบบเต็มเหนี่ยว มันก็เลยทำให้รสชาติของอาหารไม่ธรรมดาเหมือนหน้าตาของมันนั่นเอง และนี่คือเหตุผล 2 ข้อ ที่ทำให้เราชอบมากินที่นี่

ที่เราชอบกิน ก็มี “ข้าวผัดต้มยำกุ้ง” ถ้าจำไม่ผิด น่าจะจานละ 90 บาทมั้ง รสชาติต้มยำจริงๆ ไม่เลี่ยนน้ำมัน มีกุ้งตัวใหญ่เบ้งมาให้ แล้วโปะไข่เจียวลงไปด้วย เรากินซ้ำกินซากได้ไม่เบื่อเลยแหละ กับอีกเมนูนึงที่ต้องสั่งมากินคู่กัน ไปกี่ทีก็ต้องสั่ง คือ “คอหมูทอดเกลือ” (ราคาจำไม่ได้ เพราะชอบสั่งๆ ไปหลายอย่าง แต่ไม่เกิน 150 หรอก) คอหมูติดมันนิดๆ คลุกกับเกลือแล้วเอามาทอดกรอบๆ จิ้มน้ำจิ้มเปรี้ยวๆ คล้ายๆ น้ำจิ้มซีฟู๊ด อร่อยดี กินเพลินๆ แกล้มเบียร์นะ เริ่ด !!!! นั่งกินไปคุยกันไปกับเพื่อนได้ตั้งแต่ 6 โมงเย็นถึงเที่ยงคืนเลยล่ะ แล้วหมูจะก็หมดไปในพริบตา โต๊ะตัวโปรดของแกงค์เรา คือโต๊ะเตี้ยตัวยาว กับเก้าอี้ที่ตั้งพิงกระจกของร้าน มีหมอนเล็กๆ ให้เอามาเท้าแขนด้วย เพราะไม่ชอบให้แขนมันไร้ที่วาง เมื่อย !!!  ถ้าไปที่ร้านแล้วโต๊ะตัวนี้ยังว่าง ก็เสร็จพวกเรา

ข้าวพริกขิงกุ้ง

เมนูอื่นๆ ที่น่าสนใจ ก็มี “ข้าวพริกขิงกุ้ง” “ข้าวผัดเนื้อเค็ม” จานนี้ไม่เคยกิน เพราะไม่กินเนื้อ แต่คุณแหวน (กิติยา โสภณพณิช) เจ้าของร้าน บอกว่าเป็นเนื้อเค็มที่สั่งมาจากอยุธยา เนื้อเลยหนานุ่มไม่แห้งแข็ง เห็นแล้วก็น่ากินดีนะ แต่ไม่สามารถกินได้ TT__TT


แล้วก็มี “ข้าวผัดปลาทู”  หอมกลิ่นปลาทูดีล่ะ กับ “ยำปลาสลิด” ปลาสลิดกรอบๆ เปรี้ยวๆ ดี สมควรเอามาเป็นกับแกล้มเป็นที่สุด


ข้าวผัดเนื้อเค็ม
 เมนูที่ “ประตูสีฟ้า” จะมีเมนูหลักๆ ยืนพื้นอยู่ ผสมกับเมนูตามฤดูกาล และตามความครีเอตของแม่ครัว ที่จะอยากจะนำเสนออะไร สัปดาห์นั้นๆ ก็จะมีเมนูแปลกใหม่ที่อยู่นอกเหนือจากเมนูหลักมาให้เรากินกัน เช่น “หมูทอดปลาเค็ม” หนึ่งในเมนูที่อยากกิน แต่ยังไม่ได้กินซะที เมนูพวกนี้จะสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปเรื่อยๆ ถ้าอยากรู้ว่าแต่ละสัปดาห์จะมีอะไรแปลกๆ ใหม่ๆ มาให้ลองบ้าง ต้องเข้าไปดูในเพจของ “Bluedoor” ในเฟซบุ๊คกันนะจ๊ะ


แล้วไอ้ที่เราชอบมาก เวลาไปจะต้องสั่งมากินปิดท้าย เป็นการล้างปาก คือ “ไอติมละมุน” (อยากเรียกว่าแบบนี้ เพราะมันดูเป็น “ไอติม” มากกว่าจะเป็น “ไอศกรีม”)….มันเป็นไอติมโฮมเมด ที่ไม่ใส่นม แต่ใส่นมถั่วเหลืองแทน เค้าจะตักมาให้ในถ้วยเล็กๆ กินพออร่อย รสที่เคยลองมีชาเย็น น้ำมะพร้าว และพีช มินท์ ซึ่ง “พีช มินท์” นี่ต้องขอให้ลองสั่งนะ เพราะมันอร่อยมากๆ อ่ะ เปรี้ยวๆ แบบมะนาวๆ มีกลิ่นพีชนิดๆ แล้วก็หอมกลิ่นสะระแหน่ด้วย เพราะมันมีใบสะระแหน่เล็กละเอียดถูกบดมาอยู่ในเนื้อไอติมด้วยแหละ


ถ้าไปช่วงเดือนธันวานี้ อาจได้ลองชิม “เบียร์ผลไม้” ด้วยนะ เป็นยังไงก็ไม่รู้เหมือนกัน เพราะได้แต่ร่ำๆ จะไป ยังไม่ได้ไปซะที ใครไปลองมาแล้ว ช่วยมาบอกทีว่า มันเหมือนไวน์ผลไม้ทำเอง แบบที่เราทำกันตามครัวเรือนรึเปล่า

อ้อ ร้านไม่มีห้องน้ำเป็นของตัวเองนะ ถ้าจะเข้าห้องน้ำ ให้เดินออกจากร้าน แล้วเลี้ยวขวาไปเข้าด้านหลัง  มีห้องน้ำของช้อปปิ้งมอลล์ให้เข้า บอกกันไว้ก่อน เผื่อใครงง หาห้องน้ำในร้านไม่เจอ และระหว่างทางเดินไปห้องน้ำ ขอให้เหลือบตาไปที่ร้านข้างๆ หน่อยนะ เพราะว่าเค้กช็อกโกแลตหน้านิ่มของร้านที่อยู่ข้างๆ "ประตูสีฟ้า" นั้นอร่อยมากกก ต้องลอง ชิ้นละประมาณ 50 - 60 บาทเท่านั้น


ร้านเปิดทุกวัน  จ.-ศ เปิดตั้งแต่ 11.00 - 23.00 น. วันเสาร์ – อาทิตย์ เปิดตั้งแต่ 11.00 -24.00 และ มักจะมีกิจกรรมดีๆ มาให้เข้าร่วมด้วยอยู่เสมอๆ อย่างวันนี้ก็มีพี่โหน่ง วงศ์ทนง แห่ง A Day มามีทติ้งกับชาวทวิตเตอร์ อัพเดตข้อมูลข่าวสารที่หน้าเพจของร้านเลยค่ะ หรือจะแอดเฟรนด์ กับ “ร้านประตูสีฟ้า เอกมัย”  แล้วไปแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ชวนคุยอะไรสาระๆ ก็ได้นะ มีคนน่าสนใจในความคิดอยู่ในนั้นเพียบเลยล่ะ


(ถ้าเห็นรูปบางรูปในเมนูของร้าน ดูแล้วคล้ายๆ บางรูปใน entry นี้ ก็ไม่ต้องสงสัยไป เพราะว่าได้ยกรูปให้คุณแหวนไปใช้ประโยชน์ส่วนนึง เวลาเห็นรูปที่ตัวเองถ่ายได้ถูกเอาประใช้ประโยชน์ ก็รู้สึกดีนะ)

ร้านอยู่ในเอกมัยช้อปปิ้ง มอลล์ ปากซอย เอกมัย 10 ข้าง Health Land ตรงข้ามสบายใจไก่ย่าง และร้าน กาแฟ ณ ดอยช้าง ไปแถวนั้น อย่าเอารถไปเองจะดีกว่า เพราะแถวเอกมัยนั้น เที่ยงคืนแล้วรถก็ยังติดอยู่เลย โดยเฉพาะวันศุกร์สิ้นเดือน แต่ถ้าเป็นช่วงอื่นๆ ก็เลี่ยงหลีกช่วง 5 โมง – 6 โมงเย็น อันเป็นช่วงเลิกงานไว้ก็พอ หลังจากนั้นรถก็พอเคลื่อนตัวได้ ให้นั่งมอไซค์รับจ้างเข้าไปดีกว่า ราคา 15 บาทนะ ถ้าจำไม่ผิด แต่ไม่เกิน 20 น่ะ บอกเค้าว่าไปเอกมัยชอปปิ้ง มอลล์ แป๊บเดียวถึง ส่วนช่วงเย็นๆ ค่ำๆ แดดไม่ร้อนก็สามารถเดินเข้าไปได้


มีอะไรอยากสอบถาม หรือจะโทรไปจองโต๊ะ โทรไปได้ที่  02-726-9779 (แต่ถ้าช่วงปีใหม่ ใครอยากแวะไปก็เสียใจด้วย เพราะร้านปิดยาวตั้งแต่ 27 ธ.ค. 2553 - 4 ม.ค. 2554)



ถ้าปีใหม่มาอัพเดตอะไรไม่ทัน ก็เจอกันใหม่ปีหน้าเลยนะ ขอเวลาไปเล็งหาร้านน่าสนใจก่อน Happy New Year 2011 ล่วงหน้าค่ะ


ไอติมละมุนรสน้ำมะพร้าว กับชาเย็น


คาปุชิโน่เย็น

ข้าวซอยไก่

ข้าวผัดปลาทู
 

ยำปลาสลิด

แหนมซี่โครงหมู

สตรอเบอร์รี่ สมูทธี







มุมประจำของแกงค์


วันจันทร์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2553

Launderette Garden : ไปกินข้าวที่สวนบ้านเพื่อน


สวนด้านหน้าร้าน
ช่วงนี้กำลังหาร้านเล็กๆ ที่นั่งสบายๆ มีทั้งแอร์ และมีทั้งโอเพ่น แอร์อยู่ในตัวไปลงคอลัมน์สักหน่อย ที่สำคัญต้องไปง่ายๆ ด้วย เอาแบบที่สามารถนั่งรถไฟฟ้าไปถึงแล้วเดินต่ออีกนิดหน่อย หรือนั่งรถแท็กซี่ระยะสั้นๆ หรือมอไซค์รับจ้างก็ได้ เพราะนับวันแถวสุขุมวิทอันเป็นที่อยู่อาศัยของเราและหลายๆ คนนี้ มันก็ช่างรถติดเหลือเกิน จะติดไปไหนนักหนากันนะ



แล้วก็ไปเจออยู่ร้านนึง จากร้านการดูรายการเคเบิ้ลทีวีรายการหนึ่ง แล้วได้ยินเจ้าของร้านเค้าบอกพิธีกรว่า คอนเซปท์ของร้านคือการทำร้านอาหารไปพร้อมๆ กับการทำร้านซักรีด ร้านนี้ก็เลยมีชื่อว่า “Launderette Garden".....อะไรอ่ะนั่น...ซักผ้าไปด้วยกินข้าวไปด้วยงั้นเหรอ เออก็แปลกดีนะ แล้วการตกแต่งร้านมันก็ดูเก่าๆ เหมือนบ้านของใครสักคนที่เราเคยไปเยี่ยมเมื่อตอนเป็นเด็กๆ เลย ไม่ได้ดูโมเดิร์นอลังการแต่ห่างเหินแบบบางร้าน








อย่ากระนั้นเลย เราก็รีบไปสืบเสาะตามหาว่าเจ้าของร้านน่ารักนี้เป็นใครกันหนอ เพื่อที่จะได้ติดต่อขอเข้าไปถ่ายร้านเค้าให้ไว โชคดีจริงๆ ที่สมัยนี้มันมีบล็อกกับเฟซบุ๊ค และเจ้าของร้านอาหารที่เป็นคนรุ่นใหม่ เค้าก็นิยมสร้างบล็อก สร้างเพจของร้านอาหารตัวเองขึ้นมา เพื่อจะได้เชื่อมโยงกับลูกค้าได้ง่ายขึ้น และเราก็เลยติดต่อเค้าได้ง่ายขึ้นไปด้วย




ชั้นสองของร้าน

เจ้าของร้านเป็นคู่รักน่ารัก ชื่อคุณคริส กับคุณมิ้ม ที่เริ่มต้นความฝันของพวกเค้า ด้วยการอยากมีอะไรเป็นของตัวเอง ก็เลยคิดเปิดร้านอาหารด้วยกัน แต่ที่มันกลายเป็นร้านอาหารคอนเซปท์แปลกๆ แบบนี้ก็เพราะว่า ที่บ้านของทั้งคู่ทำกิจการซักรีดอยู่ก่อนแล้ว ก็เลยอยากจะสานต่อกิจการของที่บ้านด้วย เลยเอาร้านซักแห้งมาผนวกรวมกับร้านอาหารมันซะเลย ก็เลยเป็นที่มาของ “Launderette Garden" ด้วยประการฉะนี้  คือขายทั้งอาหารและรับซักแห้งกระเป๋าแบรนด์เนมไปด้วยนั่นเอง


และเพราะว่าร้านนี้มีคำว่า "Laun-
derette" อยู่ในชื่อ และเจ้าของร้านก็เกี่ยวพันอยู่กับกิจการซักแห้ง ซักอบ รีด ทั้งหลายทั้งปวง คอนเซปท์การตกแต่งร้านก็เลยมีหลายๆ อย่างที่เกี่ยวข้องกับการซักอบรีด เช่นเตารีด ไม้แขวนเสื้อ หรือตะกร้าผ้า รวมทั้งข้าวของเก่าๆ ของเล่นเก่าๆ ที่ประดับตกแต่งไว้ ที่ให้ความรู้สึกเหมือนย้อนเวลากลับไปบ้านของใครสักคนเมื่อ 30 – 40 ปีก่อน ถ้ามีโอกาสได้มาที่นี่ อย่าลืมมาเก็บรายละเอียดพวกนี้กันเอาเองนะ เพราะมันมีของกระจุกกระจิกวางอยู่ตรงโน้น ตรงนี้รอให้เราไปตื่นตาตื่นใจอยู่เต็มไปหมดเลย



และแน่นอน....คำอีกคำที่ปรากฏอยู่ในชื่อร้าน มันคือคำว่า “Garden" ใช่มั๊ยล่ะ....งั้นมันก็ต้องมีสวนด้วยน่ะสิ... ก็มีอยู่ด้านหน้าร้านนั่นเลย เดินเข้ามาก็จะเจอสนามหญ้าเล็กๆ รอต้อนรับอยู่เลยแหละ บนสนามหญ้าก็วางโต๊ะเก้าอี้ไม้ที่ขัดให้ดูเก่าๆ แล้วก็มีดงต้นเฮลิโคเนียอยู่ด้านหลังสุดของสนาม แซมกับต้นไม้ใหญ่น้อยรอบๆ....เออ มันให้ความรู้สึกเหมือนเรามานั่งอยู่ที่สวนบ้านใครอีกแล้ว....เหมือนมากินข้าวบ้านเพื่อนเลยแฮะ เพราะมันดูสบายเหมือนบ้านเลยอ่ะสิ (นี่ถ้าขอเสื่อมาปูกับพื้นหญ้าได้ แล้วขอหมอนเค้าอีกสักใบ คงยิ่งเหมือนบ้านเพื่อนเข้าไปใหญ่เลยนะ)



หมูทอดซอสมะนาว


ซุปเปอร์จี๊ดซัลมอน
 ส่วนอาหารก็น่าอร่อย และตกแต่งจานชามได้สวยพอๆ กับที่ตกแต่งร้านเลยอ่ะ อย่าง “ซุปเปอร์จี๊ดซัลมอน” (ราคา 165 บาท) อาหารจานที่คุณคริสภูมิใจนำเสนอมาก เพราะมันเป็นจานโปรดของเค้า  ซึ่งก็ตกแต่งได้สวยงามมาก (น้องสาวแพร์เรียกมันว่า “ซัลมอนกุหลาบ” ตอนที่เห็นรูปอาหารจานนี้) วางซัลมอนที่ม้วนๆ เหมือนดอกไม้ อยู่ตรงกลางระหว่างน้ำจิ้มซีฟู๊ดที่จี๊ดมากสองสี สองรส น้ำจิ้มสีแดงกลิ่นพริกแดงจะฉุนกว่า เปรี้ยว เค็มและเผ็ดกว่า น้ำจิ้มสีเขียว ซึ่งก็มีความเปรี้ยวมากกว่าน้ำจิ้มสีแดง มีกระเทียมฝานมาให้กินคู่กันด้วย อร่อยจี๊ดๆ สมชื่อมันจริงๆ นะ



อีกจานก็หน้าตาสวยงาม สีสันสดใสเหมาะแก่การถ่ายรูปจริงๆ มันคือ “หมูทอดซอสมะนาว” (ราคา 125 บาท) หมูชุบเกล็ดขนมปังทอดกรอบๆ ราดด้วยซอสมายองเนสผสมมะนาวเปรี้ยวปรี๊ด อมหวานๆ มีรสมายองเนสนิดๆ กินเพลินดี



ของคาวจานสุดท้ายยิ่งตกแต่งอลังการยิ่งกว่า 2 จานแรก มันคือ“หมูทอดซอสเปรี้ยวหวาน” (ราคา 125 บาท)  เค้าเอาหมูไปชุบแป้งทอดแล้วเอาไปผัดกับ ซอสเปรี้ยวหวาน ใส่หอมใหญ่ มะเขือเทศ และเม็ดมะม่วงหิมพานต์ รสชาติเหมือนเอาผัดเปรี้ยวหวานมารวมกับไก่ผัดเม็ดมะม่วง แล้วเททั้งหมดลงไปในเปลือกสับปะรดที่ทำหน้าที่เป็นชามธรรมชาติ เป็นอาหารตาที่สวยงามมาก แถมรสชาติหมูทอดซอสเปรี้ยวหวานก็อร่อยดีนะ แต่จานนี้ต้องกินกับข้าวนะ ถ้ากินเปล่าๆ รสชาติก็จะออกเข้มข้นไปสักหน่อย



สตรอเบอร์รี่ โยเกิร์ต สมูทธี


เออ มาแล้วไม่มีน้ำอะไรสักอย่างมาถ่าย นอกจากน้ำเปล่าก็กระไรอยู่ใช่มั๊ย แล้วแก้วที่ถูกยกมาก็สีสันบาดตาเหลือเกิน เพราะสีมันแด๊งแดงน่ะสิ (ชอบสีแดงสุดๆ) “สตรอเบอร์รี่โยเกิร์ต สมูทธี” (ราคา 75 บาท) เปรี้ยวปรี๊ดอีกแล้ว มีอมหวานด้วยช่วยๆ กันในแก้วเดียว ชอบอ่ะ >__<




วอฟเฟิลกับไอศกรีมช็อกโกแลต
 ปิดท้ายวันนี้ด้วยของหวานที่ชื่อฟังดูธรรมดา แต่แอบมีรายละเอียดแบบเดียวกับการตกแต่งร้านอีกแล้ว “วอฟเฟิล กับไอศกรีมช็อกโกแลต” (ราคา 95 บาท) หน้าตาก็เหมือนวอฟเฟิลทั่วไปแหละ แต่พอกัดเข้าไปคำแรก เอ่อ....เนื้อวอฟเฟิลมันหนานุ่มจมเขี้ยวมากอ่ะ ไม่ได้มาแบบโปร่งๆ บางๆ หาผิวสัมผัสของเนื้อแป้งไม่เจอ แล้วในจานก็มีวิปปิ้งครีมของโปรด ไอศกรีมช็อกโกแลต กับซอสช็อกโกแลตในถ้วยใบเล็กๆ อยากจะราดตรงไหนก็ตามแต่ศรัทธา แล้วรายละเอียดเล็กๆ ในจานนี้คืออะไรน่ะเหรอ.....ก็เม็ดช็อกโกแลตเล็กๆ ที่โรยมาบนวอฟเฟิล และในซอสไงล่ะ มันช่วยให้กินอร่อยขึ้น เพราะมันกรุบกริบๆ ดี


ร้าน “Launderette Garden" เป็นบ้านหลักเล็กๆ สามชั้น ตั้งอยู่ในซอยนภาศัพท์ 2 ซึ่งซอยเป็นซอยเล็กๆ ที่ซ่อนอยู่ในซอยสุขุมวิท 36 อีกที....ถ้ามาจากทาง BTS ทองหล่อ หรือปากซอยทองหล่อ ให้เดินขึ้นมาทางเอ็มโพเรียม จะเจอซอยๆ นึงที่หน้าปากซอยกำลังมีการก่อสร้างคอนโดมีเนียมสีลาเวนเดอร์ (ที่อีกไม่นานก็คงจะเสร็จ) ซอยนี้อยู่ห่างจาก BTS ทองหล่อประมาณ 50 เมตร วิธีเข้าซอยสำหรับใครที่ไม่มีรถ ให้นั่งวินมอไซค์รับจ้างที่ประจำอยู่หน้าปั๊มน้ำมันก่อนถึงทางเข้าซอยสุขุมวิท 36 หรือจะเดินเข้าไปก็ได้ ถ้าไปตอนเย็นๆ นะ แต่ถ้าตอนดึกๆ ก็ไม่แนะนำให้เดินนะจ๊ะ แม้ว่ามันจะไม่ลึกเลย เดินไม่ทันเหนื่อยก็ถึงแล้ว แต่ก็ไม่น่าจะปลอดภัยนัก นั่งแท็กซี่เข้าไปดีกว่า ค่ารถไม่เกิน 40 บาท




ด้านหน้าร้านพร้อมจุดสังเกต
เมื่อเข้าซอย 36 ไปแล้ว พอผ่านคอนโดมานิดนึง ก็เตรียมเลี้ยวขวาได้เลย จะมีป้ายบอกชื่อซอยนภาศัพท์ 2 อยู่ด้านหน้า ให้ตรงเข้ามาประมาณ 100 เมตร จะเห็นร้านตั้งอยู่ตรงข้ามกับโรงเรียนนานาชาติทรินิตี้ ร้านมีจุดสังเกตคือ แท่งปูนโค้งๆ ที่เรียงจากชั้นสองขึ้นไปถึงชั้นสามของร้าน ดูเอาจากรูปก็ได้ว่ามันหน้าตาเป็นไง 


ถ้าจะโทรไปถามทาง หรือสั่งจองโต๊ะ จองร้าน (เค้ารับจัดงานปาร์ตี้ด้วยนะ แขก 100 คนก็รับนะ) หรือจะซักกระเป๋า (เค้ารับซักแห้งกระเป๋าแบรนด์เนมด้วยไง ราคาเริ่มต้นที่ 300 บาท) โทรไปได้ที่ 087-042-8228, 081-751-0447 หรือไปที่เพจ Launderette Garden ในเฟซบุ๊คของเค้าได้ ร้านเปิดจันทร์ - เสาร์ ตั้งแต่เวลา 17.00-24.00 น. ในอนาคตคุณคริสบอกว่าตรงห้องเล็กๆ ด้านหน้าที่ไช้เป็นจุดรับกระเป๋าส่งซัก จะเปิดเป็นคาเฟ่เล็กๆ ที่จะเปิดให้นั่งกินอาหารได้ตั้งแต่บ่ายสองโมง





ปล. ตอนนี้ยังไม่เจอ แต่เคยเจอเคสขโมยรูปกับรูปอื่นของตัวเอง ฉะนั้นขอบอกกันไว้ก่อนนะจ๊ะ ว่าไม่หวงห้าม หากใครจะเอารูปในนี้ไปใช้ แต่ขอให้ใส่เครดิตให้นิดนึง ว่าเอามาจากไหน เพราะรูปในบล็อกนี้ และที่ลงไว้ในเฟซบุ๊คเป็นรูปที่ถ่ายเอง เพื่อใช้ในงานประจำ และเป็นความชอบส่วนตัว ฉะนั้นหากใครเอาไปใช้โดยไม่ลงเครดิตให้ หรือพูดง่ายๆ ว่าขโมยล่ะก็ เราคงทำอะไรคุณไม่ได้หรอก แต่ก็หวังว่าคุณจะมีจิตสำนึกบ้างเท่านั้น



ทางไป Launderette Garden










และคราวนี้เนื่องจากรายละเอียดของร้านมีเยอะมาก เลยอดใจไม่ไหว ถ่ายมาซะเยอะ และก็เลือกไม่ถูก ว่าจะลงรูปไหนดี เพราะร้านเค้าสวยทุกมุม เลยเอาไปทำเป็นสไลด์โชว์มาให้ดูกันเลยดีกว่า จะได้ดูรูปได้เยอะๆ

                               
 

วันพฤหัสบดีที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2553

เมื่อเราแวะไปเยี่ยม Bake a Wish ที่เซ็นทรัลเวิลด์

Bake a Wish เค้าไปเปิดคีออสที่ชั้น7 เซ็นทรัลเวิลด์มาได้สักพักนึงแล้ว อันนี้ทุกคนคงรู้ดีอยู่แล้วล่ะ แต่เรายังไม่ได้มีโอกาสไปเยี่ยมอย่างเป็นทางการเลยสักครั้ง วันนี้เลยแวะไปถ่ายรูปคีออสเค้ามาฝากกันสักหน่อย เผื่อมีคนที่ยังไม่ได้ไป จะได้เพิ่มความอยากไปให้มีมากขึ้น


คีออสเล็กๆ น่านั่ง ยังคงคอนเซปท์เดิมแบบเดียวกับที่ร้านที่ที่บางปะกอกเลยนะ คือยังมีดอกไม้สีขาว ตกแต่งด้วยสีนวลตา แล้วก็โต๊ะเก้าอี้นั่งสบาย และที่สำคัญ ทุกอย่างยังอร่อยเหมือนเดิม มือไม่ตก ไปซ้ำมาแล้ว อ้วนกันเลยทีเดียว


และใครที่ชอบกินชูครีม ของ Bake a Wish เตรียมตัวลองรสใหม่ได้เลยนะ เพราะเค้ากำลังจะทำชูครีม รสชาเขียวออกมาวางขายล่ะ จากที่ตอนนี้ก็มีรสวานิลลา และรสช็อกโกแลตออกมาวางขายอยู่ก่อนแล้ว (ส่วนตัวเราไม่ค่อยชอบรสช็อกโกแลตนะ เราว่ามันหวานไปหน่อย)


สำหรับคนที่ยังไม่รู้ว่าร้าน Bake a Wish สาขา เซ็นทรัลเวิลด์ อยู่ตรงส่วนไหนของชั้น 7 ก็ง่ายๆ เลยค่ะ เดินไปทางโรงหนังนั่นแหละ คีออสตั้งอยู่หน้าทางเข้าซุปเปอร์มาร์เก็ต กับทีเคปาร์คนั่นแหละ ตั้งอยู่โดดเด่นเป็นสง่าเห็นมาแต่ไกลเลยค่ะ


เดี๋ยวมีข่าวคราวอะไรจากทางร้าน จะเอามาบอกต่อนะ อย่าลืมติดตามล่ะ


(ช่วงนี้ไปนู่นมานี่บ่อยๆ เลยมีเรื่องมาอัพสั้นๆ ให้อ่านเพลินๆ กันเยอะหน่อยนะคะ เอาไว้อ่านคั่นเวลารอรีวิวร้านสวยเทพร้านนึง ที่เคยบอกไว้เมื่อคราวก่อน ว่ารอเค้าปรับปรุงร้านอยู่ ตอนนี้ร้านเสร็จแล้วล่ะ และร้านนั้นมีชื่อว่า Launderette Garden ค่ะ     รออ่านกันด้วยนะ












สปาเก็ตตี้เป็ดอบกรอบและร็อคเก็ต ที่ Patio เซ็นทรัลเวิลด์

เคยบอกไปแล้วใช่มั๊ยว่าเป็นคนที่ชอบกินเป็ดมากๆ ทุกอย่างที่เป็นเป็ด ทั้งลาบเป็ด เป็ดพะโล้ เป็ดย่าง เป็ดทอด – อบ กรอบแบบฝรั่งเศส (อันนี้เน้น) กินได้หมด และกินได้เรื่อยๆ


และเมนูเป็ดที่ชอบกินขึ้นสมองมากๆ ถ้าไปร้านประจำร้านนี้ ซึ่งก็คือร้าน Patio (เน้นไปที่สาขาเซ็นทรัลเวิลด์เป็นหลัก) จะต้องสั่งมากินสลับกับเมนูเป็ดอีกจานที่เป็นสลัด ไม่เคยนอกใจไปสั่งเมนูอื่นมากินเลย ตลอดเวลาที่ไปเป็นลูกค้าเค้าอยู่เกือบ 5 ปีแล้ว


เมนูนั้น มันก็คือ “Spaghetti with Duck Confit and Rocket Leaves" หรือ “สปาเก็ตตี้เป็ดอบกรอบและผักร็อคเก็ต” (ราคา 280 บาท) เส้นสปาเก็ตตี้ผัดน้ำมันมะกอกกับพริกแห้ง - กระเทียมสดหั่นเป็นชิ้นบางๆ เค็มปะแล่มๆ (อยากให้เค็มอีก โรยเกลือเพิ่มนอกจานได้) แล้วใส่มะกอกดำดองกับชิ้นเป็ดอบกรอบ เสร็จแล้วก็จัดชุดใหญ่ลงไป ด้วยขาเป็ด confit (เป็ดดองน้ำมันแล้วเอาไปอบหรือทอด) ที่หนังเป็ดข้างนอกจะกรอบมากๆ แต่พอหั่นเข้าไปในชิ้นเนื้อจะเจอกับความนุ่ม ไม่มีเหนียว (เป็ดนี่ขึ้นชื่อเรื่องความเหนียวเหมือนกันนะ ในฐานะที่เคยทดลองทำ duck confit ด้วยตัวเอง แล้วได้กินหนังยางแทน) เพราะเค้าเอาไปตุ๋นก่อนจะเอามาทอดจนกรอบ มันเลยอร่อยเข้าเนื้อ เขียนไปนี่ ก็อยากไปกินอีกอ่ะ (ได้ข่าวว่าเพิ่งไปมาเมื่อศุกร์ที่แล้ว)


อ้อลืมๆๆๆ มีนางเอกเป็นเป็ด แล้วก็อย่าลืมพระเอกคือผักร็อกเก็ตด้วย เพราะเค้าจะโรยผักร็อกเก็ตสดๆ ลงมาบนสปาเก็ตตี้ด้วย ไม่เยอะนะ เอาแค่พอหอมปากหอมคอ กินแกล้มๆ กันไปกับเส้นสปาเก็ตตี้และเนื้อเป็ด อร่อยเข้ากันมากมาย


ที่สำคัญคือราคาไม่แพงเลย เมื่อเทียบกับเป็ดชิ้นบะเร้อ เคยไปกินเป็ดทอดแบบฝรั่งเศส ที่ร้านแบรนด์อิมพอร์ตจากฝรั่งเศสร้านนึง แถวหลังสวน ราคาครึ่งพัน เรากลับคิดว่ามันสู้น้องเป็ดราคา 280 บาท ของ Patio ไม่ได้แฮะ อันนี้แค่วัดจากลิ้นเรานะ แต่ถ้าใครชอบร้านนั้น ก็แล้วแต่ความชอบของแต่ละคนนะคะ


เราชอบไปกิน Patio สาขา เซ็นทรัลเวิลด์นะ เพราะว่า ไปง่าย เป็นจุดนัดพบเพื่อนๆ ได้ และร้านอยู่ฝั่งอิเซตัน คนเลยไม่เยอะ ไปทีไรก็จะได้นั่งที่โต๊ะตัวเดิม ซึ่งหลบมุมมากๆ เพราะมีกำแพงทั้งแผงบังไว้จากหน้าร้าน เรากับเพื่อนๆ เลยชอบโต๊ะตัวนี้มากเป็นพิเศษ เพราะกินกันชิลล์มาก เลยไม่อยากให้ใครเห็นสภาพ


ใครชอบเป็ด ลองไปกินดูนะ ส่วนใครไม่ชอบเป็ด จะลองกินดูก็ได้นะ เผื่อจะเปลี่ยนใจมารักน้องเป็ด


ไปดูเมนูอื่นๆ ได้ที่นี่เลยนะ แต่ละอย่างน่ากินทั้งนั้น มันเลยเป็นร้านโปรดของเราไง (ไม่ได้ค่าโฆษณาแต่ประการใด)

วันอังคารที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

The Anna Restaurant & Art Gallery : น้องแกะ และ น้องเครปเค้กที่รัก

เคยได้ยินชื่อร้าน    “Anna Café" กันมั๊ย เมื่อ 10 กว่าปีก่อนร้านนี้เป็นร้านที่ดังมากในละแวกถนนสีลม – สาทร แล้วต่อมาก็ย้ายร้านจากศาลาแดง มาอยู่ที่ถ. นราธิวาส และเปลี่ยนชื่อเป็น “Anna Charlie Café" มาวันนี้เค้ามาได้บ้านเก่าหลังใหญ่อายุ 100 กว่าปีในซ.พิพัฒน์ (ซอยข้างๆ ธนาคารกรุงเทพฯ สำนักงานใหญ่ ที่ทะลุไปออกซอยข้างๆ โรงแรมเอเวอร์กรีน ริมถนนสาทร) มาโมใหม่ให้กลายเป็นร้านอาหารที่ด้านบนเป็นอาร์ต แกลลอรี่


แล้ววันหนึ่งเราก็ได้โอกาสอันดีมาเยี่ยมเยียนร้านที่มีประวัติยาวนานร้านนี้จนได้  แค่เดินเข้ามาหน้าร้าน ก็รู้สึกว่าร้านมันใหญ่ชะมัด  แล้วจะแพงมั๊ยนี่ เพราะหน้าตาภายนอกร้านดูหรูหราใช้ได้เลย แถมพอเดินเข้าไปในร้านก็รู้สึกว่าร้านกว้างขวางดี มีหลายมุมให้เลือกนั่ง ทั่วทั้งร้านสว่างไสวด้วยกระจกใสๆ ที่กรุไว้รอบๆ ร้าน ครั้นเมื่อหยิบเมนูมาชำเลืองตาดูราคาอาหารจานน้อยใหญ่.......โอ้วววววว์.........ปรากฏว่าราคาไม่ได้แพงอย่างที่คิดเลยแฮะ อาหารราคากลางๆ ไม่ถูกนัก แต่ก็ไม่แพง ราคาพอๆ กับร้านในห้างอย่าง Patio หรือ Grayhound Café นั่นแหละ



อาหารที่นี่มันจะมีหลากหลายเชื้อชาติมากเลยนะ บางเมนูก็ประยุกต์ขึ้นมาเองโดยการคิดค้นสูตรของผู้บริหารร้านซึ่งหนึ่งในนั้นเป็นเมนูที่เราชอบมากด้วย มันคือ “ขาหมูผัดกะเพรา”  (ราคา 180 บาท) ชื่อฟังดูอ้วนๆ ใช่มั๊ย ก็นิดนึงนะ แต่ว่าถ้าจะกินแล้ว อย่าได้กลัว.....ตอนแรกได้ยินชื่อก็นึกว่ามันจะเป็นขาหมูกรอบๆ แบบขาหมูเยอรมัน แต่ที่ไหนได้มันเป็นขาหมูพะโล้แบบที่กินกับข้าวขาหมูนี่เอง ทำเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วผัดกับถั่วฝักยาวและใบกะเพราะ มีกะเพราทอดกรอบโรยหน้ามาด้วย จานนี้ต้องกินกับข้าวสวยร้อนๆ จะอร่อยมาก (ข้าวสวยของ “The Anna Restaurant & Art Gallery” เป็นข้าวหอมมะลิเก่า เม็ดเล็กเรียว ที่หุงแล้วไม่แฉะ กินกับอะไรก็อร่อย)



อีกจานที่ชอบมากๆๆๆๆ และถูกใจสุดๆ คือ “เนื้อแกะคลาซาบลังก้า” (ราคา 280 บาท) ที่ชอบเพราะมันเป็นเนื้อแกะนั่นเอง แต่จานนี้เนื้อออกจะเหนียวไปสักหน่อย ถ้าคนไม่ชินกับเนื้อแกะ อาจจะมีบ่นๆ บ้าง แต่ว่าการปรุงออกแนวอาหรับๆ แขกๆ หน่อยนะ ใส่เครื่องเทศเยอะๆ กลบกลิ่นเหม็นสาบของแกะ (แต่เราชอบกลิ่นมันแฮะ) แล้วราดโยเกิร์ตลงไปข้างบน จริงๆ เค้าเสิร์ฟให้กินคู่กับโรตีชิ้นเล็กๆ แต่เราอยากเอาไปกินกับข้าวมากกว่า อร่อยเหมือนกัน ใครชอบกินแบบไหน ก็ลองแบบนั้นแล้วกัน

ส่วนจานนี้เพื่อนที่ไปด้วยกันชอบมาก เพราะมันกลัวอ้วน “The Anna Salad" (ราคา 200 บาท) ทั้งจานมีผักกาดแก้ว โอ๊คลีฟ มะเขือเทศเชอร์รี่ ไก่ต้มฉีก แฮม กุ้ง ไข่ต้ม ราดน้ำสลัดแบบญี่ปุ่นรสชาติซีอิ๊วๆ เปรี้ยวๆ เค็มๆ แล้วโรยหน้าด้วยไข่กุ้ง อร่อยดี เหมาะกับคนกลัวอ้วน เพราะปราศจากครีมและไขมัน




ของคาวอีก 2 จานที่เหลือ ที่วันนี้เค้ายกมาให้ถ่าย ยังมี  “สเต็กปลาดอรี่” (ราคา 250 บาท) ที่เค้าใช้ปลาดอรี่นำเข้า เนื้อเหนียวๆ นุ่มๆ (ชื่อปลาฟังแล้วนึกถึง Finding Nemo) ราดไวท์ซอส กินคู่กับผักต้มและมันบด จานนี้เราดันไปชอบมันบดเค้าแทนแฮะ คือนั่งกินจนหมดเลยอ่ะ เพราะมันบดมันรสชาติเนยๆ นมๆ ดีนะ คนที่ชอบอะไรเลี่ยนๆ แบบเรา คงจะชอบรสชาติแบบนี้เหมือนกัน แล้วเค้าบดมันฝรั่งซะจนเนื้อเนียนเลย



จานสุดท้ายคือ “ก๋วยเตี๋ยวปีนัง” (ราคา 140 บาท) ที่หน้าตาละม้ายคล้ายก๋วยเตี๋ยวคั่ว แต่ต่างจากก๋วยเตี๋ยวคั่วตรงที่ มันอุดมไปด้วยซีฟู๊ดอย่างกุ้ง หอยแครง ลูกชิ้นปลา แล้วแอบมีตบท้ายด้วยกุนเชียงชิ้นโต ตอนจะกินให้คลุกกับซอสพริกเปรี้ยวๆ เผ็ดๆ ที่เค้าเสิร์ฟมาให้กินคู่กัน อร่อยดีนะ กินเพลินๆ จานนี้ได้สูตรมาจากผู้บริหารของร้านเหมือนจานขาหมูนั่นแหละ



ส่วนของหวานนี่ชอบมาก นี่ว่าจะกลับไปซ้ำอยู่เหมือนกัน เพราะว่ามันคือ “สตรอเบอร์รี่ครีมเค้ก” (ราคา 110 บาท) ที่เอาเครปแผ่นบ๊าง บางมาวางเรียงสลับกับครีมสดรสชาตินุ่มนวล แล้วราดด้วยสตรอเบอร์รี่ซอส รสชาติเปรี้ยวๆ หวานๆ อร่อยมากมาย จริงๆ อยากกินเมนูนี้มานานแล้วล่ะ เพราะเวลาอ่านคอลัมน์รีวิวอาหาร แล้วบางร้านมีของหวานเมนูนี้ ก็ได้แต่คิดว่าครีมสดกับเครปมันจะเนื้อนุ่มสักแค่ไหนกันนะ มาวันนี้ได้กินซะที     




อีกจานเป็น “Panacotta Fresh Fruit" (ราคา 120 บาท)  สีสันสวยงามมาก เป็นจานที่ทำให้เราสนุกกับการหามุมสวยๆ มาถ่ายมันเหลือเกิน พยายามหาจุดที่แสงส่องสว่างที่สุด โชคดีผสมโชคร้ายคือ ผ้าปูโต๊ะที่ร้านนี้เป็นสีขาว และโต๊ะที่เอาของมาถ่าย อยู่ติดกับกระจกใสที่แสงส่องถึงแบบจัดจ้า แล้วแสงดีที่ว่าก็ได้ผ้าปูโต๊ะขาวเป็นรีเฟลกซ์ชั้นดี ที่ช่วยสะท้อนแสงให้อาหารมีสีที่เป็นธรรมชาติมากขึ้น แต่ว่าบางทีมันก็มากไป ทำให้อาหารที่มีสีขาว เวลาถ่ายออกมาด้วยแสงปกตินี้ จะขาวจนหาขอบไม่ค่อยเจอ และไอ้ขนมถ้วยนี้นี่แหละที่เป็นปัญหาที่สุด เพราะขนมก็ขาว ถ้วยก็ใส เทคนิคบ้านๆ ที่เราใช้ คือ เอามือไปบังแสงในจุดที่กล้องไม่ได้จับภาพ ก็ช่วยลดทอนแสงโอเวอร์ได้ดีเหมือนกันนะ ภาพจะดูมีมุมมืดขึ้นมาบ้าง


จริงๆ ร้านนี้เค้ามีกิมมิคอย่างหนึ่ง ที่เป็นเอกลักษณ์ของทางร้านมาโดยตลอด นั่นคือการร้องเพลง “แฮปปี้เบิร์ธเดย์” เมื่อมีการเสิร์ฟ ทอฟฟี่ บานอฟฟี่เค้กที่ลูกค้าสั่ง แม้ว่าคนที่สั่งจะไม่ได้เกิดวันนั้นก็ตามที ดังนั้นตลอดเวลาที่นั่งอยู่ในร้าน เราเลยได้ยินเสียงพนักงานร่วมกลุ่มกันร้องเพลง “แฮปปี้เบิร์ธเดย์” ให้ลูกค้าอยู่เป็นระยะๆ  เพราะเมนูทอฟฟี่ บานอฟฟี่ เค้ก เป็นเมนูของหวานขึ้นชื่อของร้านตระกูล “Anna" นั่นเอง



จากที่ไปมาวันนั้น เราสรุปได้ว่า ร้านนี้เป็นร้านที่น่ากลับไปอีกร้านหนึ่งแล้ว เพราะว่าร้านใหญ่มาก ต่อให้คนเยอะยังไง ก็ยังไม่รู้สึกอึดอัด ไม่เหมือนบางร้าน พอคนเยอะหน่อย ก็จะรู้สึกแน่นขึ้นมาในบัดดล ที่สำคัญคือ ราคาของอาหารนี่แหละ ร้านระดับนี้ มีเชฟชื่อดังอย่าง คุณวิชิต ชาญอนุเดช หรือ ‘เชฟชาร์ลี’ ราคา 100 บาทไม่เกิน 500 นี่ จัดว่าไม่แพง (ไอ้เมนูที่เกิน 300 โดยมากมักจะเป็นพวกเนื้อวัวจากนอก เนื้อปลาเทพๆ หรือเนื้อแกะชิ้นใหญ่ๆ นะ แต่ถ้าอาหารปกติก็ราคาไม่เกิน 300.....ร้านใหญ่ บรรยากาศดี ราคาไม่แพง เราเลยต้องเก็บไว้ในสต็อกอีกหนึ่งร้าน ไว้มากับเพื่อนช่างกินในคราวต่อๆ ไป



ใครอยากลองไปกินนะ ร้านหาไม่ยากเลย ถ้าจะนั่งบีทีเอส ให้ลงสถานีศาลาแดง แล้วเดินมุ่งหน้าไปที่ธนาคารกรุงเทพสำนักงานใหญ่ เลี้ยวเข้าสีลมซอย 3 หรือซอยพิพัฒน์ ที่อยู่ข้างๆ ธนาคารนั่นแหละ เดินตรงไป เลี้ยวซ้าย แล้วตรงไปอีกประมาณ 20 เมตร ก็จะเห็นร้าน “The Anna Restaurant & Art Gallery"  แต่ถ้าจะมาจากสาทร ซึ่งจะเป็นทางที่ใกล้กว่า ให้เลี้ยวเข้าสาทรซอย 6 ที่อยู่ข้างๆ โรงแรมเอเวอร์กรีน ตรงไปนิดนึง แล้วเลี้ยวซ้ายไปตามทาง แค่ประมาณ 10 เมตรก็จะเห็นป้ายร้าน และลานจอดรถเด่นเป็นสง่ามาแต่ไกลเลยแหละ โทรไปจองโต๊ะ หรือสอบถามเมนูอาหารได้ที่เบอร์ 02- 237-2788-9    หรือเข้าไปดูที่เว็บไซต์ http://www.theannarestaurant.com/ หรือจะเข้าไปติดตามข่าวสารของทางร้านแบบสนิทชิดใกล้ที่เฟซบุ๊คของร้านก็ได้



(เค้าบอกว่าแต่ละวันจะมีเมนูเซ็ตที่เชฟชาร์ลีคิดค้นขึ้นมาเป็นพิเศษ ที่จะทำออกมาวันละประมาณ 20 จานเท่านั้น ใครอยากรู้ว่าวันไหนมีเมนูพิเศษอะไร ให้ลองโทรไปสอบถามกันดู)



แล้วคราวหน้าจะเอาร้านไหนมาฝาก รอดูกันนะ ตอนนี้ต้องขอตัวก่อนล่ะ บ๊ายบาย



ปล.อยากดูรูปใหญ่ๆ และเยอะกว่านี้ไปดูได้ที่อัลบั้ม Food Food Review Part 2 ในเฟซบุ๊คนะจ๊ะ





The Anna Salad


เสต็กปลาดอรี่


ก๋วยเตี๋ยวปีนัง


Freshy Smoothies (แก้วสีส้ม)
Mix Berry Smoothies (แก้วสีชมพู)




เนื้อแกะคาซาบลังก้า