วันอาทิตย์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2555

Burger Factory เบอร์เกอร์ตามสั่ง ที่เราได้กินแบบชิ้นใหญ่ๆ เนื้อล้วนๆ




ช่วงนี้ห่างหายจากบล็อกไปนานมากๆ
เพราะเพิ่งเปลี่ยนงานใหม่ค่ะ


และตอนนี้งานประจำก็ได้เป็นงานที่เกี่ยวข้องกับเรื่องอาหารอย่างเต็มตัวเเล้ว


ตอนนี้แพร์ไปทำงานเป็น  Chief Editor ให้กับเว็บไซต์รีวิวอาหารแห่งหนึ่งนะ ลองหาๆ ดู บางคนที่มาอ่านที่นี่ ก็อาจจะเป็นสมาชิกของเว็บนั้นแล้วด้วยซ้ำ และอาจเห็นแพร์เป็น user แนนะนำของเว็บนั้นนะ อย่าลืมทักทายกันค่ะ


และด้วยเหตุนี้


บางร้านที่คัดเอามาลงในบล็อกนี้ จึงเป็นร้านที่ได้ไปชิม ไปถ่ายรูปมาเพราะทำงานอีกแล้ว แต่จะคัดมาเฉพาะร้านที่คิดว่าอร่อย และตัวเองชอบจริงๆ เป็นหลักค่ะ


จะลงคละๆ กับร้านที่ไปกินมาเองจริงๆ ด้วย


อย่าลืมติดตามอ่านกันเหมือนเดิมนะคะ


จะพยายามอัพให้มันบ่อยขึ้น




 กลับมมาคราวนี้ จะพาไปเยี่ยม Burger Factory  ปากซอยเอกมัย 10 กันนะ



Grilled Salmon Burger 225 บาท
Burger Factory เป็นร้านเบอร์เกอร์ที่เปิดมาได้สักพักนึงแล้ว ยังไม่ถึงปี มาเปิดแทนที่ร้านเครื่องครัวตรงข้างๆ ร้านประตูสีฟ้า ร้านประจำของเราที่เอกมัย ช้อปปิ้ง มอลล์ ปากซอยเอกมัย 10 ได้มีโอกาสไปถ่ายรีวิวให้เค้ามา


ถ้าใครชอบกินเบอร์เกอร์แบบประณีตๆ เนื้อล้วนๆ ไม่มีหัวหอม ขนมปัง หรือมันหมูผสมจนเนื้อเบอร์เกอร์แทบจะไม่เป็นชิ้นเป็นอัน เราว่าร้านนี้น่าลองมากนะ


เลือกเบอร์เกอร์ของ Burger Factory มาแนะนำ เพราะชอบแนวคิดที่ว่า


1. เค้าบดเนื้อกันสดใหม่วันต่อวัน รอบต่อรอบ ขายบ่ายบดเนื้อตอนสายๆ เที่ยงๆ ขายค่ำๆ ดึกๆ ก็บดเนื้อกันตอนบ่ายๆ แล้วเนื้อที่จะเอามาบด ก็จะเอามาหั่นเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมลูกเต๋าก่อน แล้วจึงค่อยเอาไปบด เนื้อที่บดออกมาเลยยังมีความชุ่มฉ่ำ juicy อยู่  แล้ววีธีการปั้นเนื้อ ก็จะฟาดเนื้อกับมือจนเนื้อเหนียวจับตัวกันเป็นก้อนได้ แล้วจึงขึ้นรูปเป็นชิ้นเบอร์เกอร์กลมๆ รอเวลาย่างบนเตาไฟ 


2. ข้อที่ดีที่สุดของเบอร์เกอร์ที่นี่คือ เค้าจะย่างเนื้อเบอร์เกอร์กันจานต่อจาน เราสั่งเค้าถึงจะย่าง ดังนั้นเราเลยสั่งได้ว่าเราอยากให้เนื้อมันสุกมาก สุกน้อย ดิบๆ หน่อย หรือสุกๆ ดิบๆ เหมือนกับการกินสเต็กนั่นแหละ


3. ในเบอร์เกอร์แต่ละจานที่เค้าเสิร์ฟมา มันจะมีท้อปปิ้ง และเครื่องเคียงต่างๆ ที่จัดมาเต็มมาก และหลากหลายชนิดด้วย ท้้ง เกาด้าชีส กรูแยร์ชีส Onion Caralmelized หรือหอมหัวใหญ่ที่เอาไปผัดกับครีม หรือ BF Sauce ซอนสีส้มสูตรพิเศษที่ใช้ท้อปปิ้งลงบนเเบอร์เกอร์ เพื่อเพิ่มรสชาติความอร่อย



     The Factory Burger ราคา 290 บาท


เบอร์เกอร์ที่เป็น Signature  ของเค้าคือ "The Factory Burger" (ราคา 290 บาท) เบอร์เกอร์เนื้อที่โปะหน้าด้วยเกาด้า ชีส และ กรูแยร์ ชีส แถมด้วยเบคอนกรอบๆ และเคิร์ลลี่ ฟราย


แต่ถ้าไม่กินเนื้อเหมือนเรา ก็มีเบอร์เกอร์หมู และเบอร์เกอร์ปลาซัลมอนให้สั่งด้วยเหมือนกัน ซึ่งเบอร์เกอร์ปลาซัลนี่ก็แปลกดี ไม่ค่อยเห็นมีที่ไหนใช้ปลาซัลมอนล้วนๆ มาทำเป้นเบอร์เกอร์เท่าไหร่ จะเห็นแต่ค้อด หรือปลาดอลลี่มากกว่า



The Petty Melt  ราคา 300 บาท


ที่เราชอบอีกสองอย่างที่ร้านนี้คือเครื่องดื่มที่ครีเอตมากๆ กับขนมหวานที่มีเพียงอย่างเดียวให้เลือก


ชอบเครื่องดื่มเพราะเค้าเข้าใจจับนู่นมาผสมกับนี่ น่าสนุกดี คนกินสั่งไปก็ตื่นเต้นไป ว่าไอ้ที่สั่งไปนี่มันจะออกมาหน้าตาและรสชาติเป็นยังไงนะ



Frozen Mojito Mocktail ราคา 120 บาท


Summer Brew ราคา 85 บาท



ที่ได้มีโอกาสลองคือ "Summer Brew" กับ "Frozen Mojito Mocktail"


แก้วแรกเป็นรูทเบียร์ผสมกับพีช ไซรัปที่หอมกลิ่นพีชมากๆ  ใบสะระแหน่ (มีคนบอกว่าเรียกใบมินท์จะเก๋กว่านะเออ แต่มันอยากเรียกแบบไทยๆ อ่ะ จะทำไม) "Summer Brew" (ราคา  85 บาท) เป็นเครื่องดื่มที่น่าสนใจที่เอารูทเบียร์กลิ่นแรงๆ เหมือนกลิ่นยาหม่องมาผสมกับสิ่งที่มีกลิ่นอ่อนหวานอย่างน้ำเชื่อมพีช และกลิ่นสดชื่นอย่างสะระแหน่ แล้วความเป็นรูทเบียร์ก็ยนังอยู่ แต่แอบมีรสหอมหวานของพีชติดมาด้วย อร่อยและสดชื่นดี


ส่วน "Frozen Mojito Mocktail" (ราคา 120 บาท)เป็นน้ำมะนาวที่ปั่นมะนาวลงไปทั้งเปลือก ผสมกับใบสะระแหน่ และน้ำเชื่อม รสชาตืเปรี้ยวๆ และเค็มนิดๆ จากเกลือตรงปากแก้ว หอมใบสะระแหน่ แก้วนี้ดื่มแล้วจะสดชื่นมากๆ เหมืิอนไปเดินอยู่ริมทะเล



Chocolate Lava ราคา 200 บาท


อย่างสุดท้ายที่ชอบ ทร่บอกไปตะกี๊ ก็คือ "ขนม" ซึ่งที่นี่มีอยู่แค่เมนูเดียวเท่านั้น นั่นคือ "ช็อกโกแลตลาวา" (ราคา 200 บาท) เราชอบมากกว่าช็อกโกแลตลาวาที่ร้านขนมโดยตรงอีกนะ ชอบเพราะข้างนอกมันจะกรอบๆ แต่ซอสช้อกโกแลตด้านในเยอะและเยิ้มมากๆ รสชาติหวานๆ ขม เข้มข้นจริงๆ เรากินแบบแทบจะเลียจานเลยแหละ


แต่ราคาเบอร์เกอร์เค้าอาจจะสูงนิดนึงนะ จานละ 200 - 300 บาท…..แต่เป็นราคาสูงที่เหมาะสมกับคุณภาพของอาหารนะ และเมื่อคืดดูดีๆ เราจะพบว่า เราเท่านี้ก็เท่าราคาคอมโบเซ็ทของเบอร์เกอร์ฟาสท์ฟู้ดเหมือนกัน ซึ่งที่นี่ท้อปปิ้ง และเครื่องเคียงดีกว่าด้วยซ้ำ แถมยังสั่งให้เพิ่ม ให้ลด สั่งสุกสังดิบได้ดั่งใจอีกด้วย ก็เลยคิดว่า อาจจะดูเหมือนจ่ายแพงกว่าแต่ก็คุ้มนะ


ลองไปกินกันดู


สำหรับเราชอบเบอร์เกอร์ปลาซัลมอนที่สุดเลย


 The Factory Burger ที่สั่งแบบ Medium Rare


Grilled Salmon Salad ราคา 225 บาท สเต็กปลาซัลมอนเนื้อแน่นๆ


Crispy Sticky Wing ราคา 165 บาท












วันอาทิตย์ที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2555

Food Passage Zone ณ สยามพารากอน กับ Tudari ร้านภูฟ้าผสมผสาน และ Coffeöl



พอดีวันก่อนต้องไปทำงานที่ชั้น 4 ของพารากอนทั้งวันตั้งแต่สายๆ จนเย็น ก็เลยหาข้าวกลางวัน และข้าวเย็นกินมันบนชั้น 4 นั่นแหละ โชคดีที่ห้างเค้าเพิ่งเปิดโซนนี้ไปเมื่อราวๆ สิงหาคมปีที่แล้ว เราเลยไม่ต้องถ่อสังขารเดินลงไปกินที่ Another Hound  Cafe หรือลงไปแย่งที่กินกับคนอื่นที่ชั้นล่างสุดซึ่งคนเยอะจนตาลาย


ข้อดีของชั้น 4 คือ มันเป็นโซนเปิดใหม่ คนยังไม่ค่อยเยอะ ทำไมไม่รู้เหมือนกัน หรืออาจะเป็นเพราะมันอยู่สูง คนเลยขี้เกียจปีนบันได หรือเบียดคนในลิฟท์ขึ้นมา เราเลยสามารถเลือกร้าน และเลือกที่นั่งในร้านที่เข้าไปได้ตามสบายเลย ไม่ต้องรอต่อคิว ไม่ต้องรออาหารนาน และไม่ต้องอารมณ์เสีย


เราจัดไป 3 ร้านก่อนเบาๆ เดี๋ยวคราวหน้าค่อยไปเก็บอีก 2 – 3 ร้าน



Coffeöl
Chicken Panini

ร้านกาแฟคีออสร้านนี้ มีโซฟาสีแดงน่านั่งมากๆ และเราเห็นว่าในตู้มันมีปานินี่ดูหน้าตาน่ากิน เลยตัดสินใจกินอาหารกลางวันที่นี่ เราสั่ง "Chicken Panini" (ไก่-ชีส ปานินี่) ราคา 145 บาท ได้ปานินี่ไส้ตู้มมาหนึ่งชิ้น หั่นครึ่ง ชอบตรงที่ผิวหน้าขนมปังกรอบมาก ส่วนชีสก็เยิ้มกำลังดี และไก่รมควันก็ใส่มาให้เยอะนะ (ไก่รมควันก็เหมือนไก่อบชานอ้อยนั่นแหละ) เรากินเปล่าๆ เลย ไม่ได้จิ้มซอสมะเขือเทศที่เค้าให้มาด้วย คนที่ชอบชีสอย่างเรา ชอบอะไรที่ชีสมันเยอะๆ เยิ้มๆ แบบนี้แหละ


ไก่รมควันและชีสเยิ้มๆ

พนักงานบอกว่าปานินี่ที่ร้านมี 3 ไส้ คือ ไก่-ชีส, แฮม – ชีส และ ชีสเปล่าๆ ชอบแบบไหน ก็ลอง
สั่งดู


Iced Matcha Honey Lamon
ส่วนเครื่องดื่ม พอดีช่วงนี้ไม่ค่อยอยากจะกินอะไรครีมๆ หวานๆ เท่าไหร่ อยากกินอะไรใสๆ เปรี้ยวๆ มากกว่า เลยสั่ง "Iced Matcha Honey Lamon" (แก้วใหญ่) ราคา 105 บาท มาดื่มดู ตอนแรกนึกว่ามันจะเป็นแบบชาเขียวญี่ปุ่น ในร้านอาหารญี่ปุ่นซะอีก แต่ปรากฏว่ารสชาติของน้ำผึ้งและมะนาวจะโดดเด่นกว่าชาเขียวนะ กินแล้วก็ชุ่มคอดับกระหายและแก้ปวดหัวเพราะหิวได้ดี


Coffeöl นี่รสชาติก็ถือว่าใช้ได้นะ แต่เราว่าราคาแพงไปนิดนึง เมื่อเทียบขนาดของอาหารกับราคาแล้ว แพงกว่าสตาร์บัค หรือ กลอเรีย จีนส์ซะอีก (เบเกอรี่ในสตาร์บัคราคาไม่ถึงร้อยก็มีนะ ส่วนพวกแซนวิชอบ ของกลอเรีย จีนส์ราคาแค่ 75 บาทเท่านั้นเอง)  และพนักงานทำอาหารช้าไปนิด เราสั่งไปตอน 12.30 แต่เค้าเอาปานินี่มาเสิร์ฟให้ตอน 12.48 เกือบๆ 20 นาทีเลยแน่ะ ซึ่งเรามีนัดกับลูกค้าตอนบ่ายโมงเป๊ะ และไม่อยากเลท เลยเลือกมากินร้านแนวๆ นี้ เพราะเห็นว่าพวกร้านคอฟฟี่ ชอปอาหารไม่น่าจะต้องทำอะไรกับมันนาน แต่พอมันนาน เราจึงนั่งดูเวลาอยู่ตลอด และรู้สึกว่าทำไมมันนานจัง จนต้องหันไปเร่ง คิดว่าควรปรับปรุงขั้นตอนการปรุงอาหารที่สุกมาอยู่แล้วให้ดีกว่านี้ค่ะ







Tudari

ต่อมาก็เป็นมื้อเย็นที่กินบ่าย 4 โมงกว่าๆ หลังจากทำงานเสร็จ ตอนมาเดินรอบแรก ก็เล็งๆ ไว้ละว่าร้านไหนน่าสน แต่ที่ตัดสินใจเลือกร้านนี้ เพราะมันเป็นอาหารเกาหลี ที่อยากกินมานาน แต่ไม่สบโอกาสซะที


บิบิมบับหมู และเครื่องเคียง



(หน้าสุด) ชิจิมิ, ผักโขมผัดน้ำมัน, กิมจิ

เมนูที่ฝันว่าอยากจะกิน คือ “บิบิมบับ” นะ เพราะมันใส่ผักเยอะดี แลดูน่าจะมีประโยชน์ต่อร่างกาย และดูเผ็ดน้อย เลี่ยนน้อยที่สุดแล้ว ในบรรดาอาหารเกาหลีที่เรารู้จัก


เมื่อเข้าไปในร้านจึงสั่ง “บิบิมบับหมู” ราคา 260 บาท แล้วมันก็มาเสิร์ฟในกระทะร้อน ควันฉุยเสียงดังฉ่าๆ มาเลย รออยู่นานเหมือนกัน กว่าควันจะหายไป ว่าแล้วก็จัดการคลุกๆ ทั้งที่ไม่อยากจะคลุกเลย เพราะอาหารในชามจัดมาน่ากินมาก สีสวยสด จนไม่อยากไปทำลายความงามของมัน


บิบิมบับหมู ชามนี้ประกอบด้วยเห็ดหอม เห็ดเข็มทอง เห็ดนางฟ้าฉีกฝอย ถั่วงอก แครอทหั่นเป็นเส้น ไข่เจียวหั่นเป็นเส้น ผักโขมผัดกับน้ำมัน หมูผัดซอส ราดซอสพริก แล้วตอกไข่ไก่ลงมาตรงกลาง โรยซ้ำด้วยงาดำ



ชามะนาวรสชาติอ่อนๆ

ช้อนและตะเกียบสีเงิน แต่ไม่ใช่เหล็กนะเพราะมันเบามาก

และก่อนที่จะบิบิมบับจะมาเสิร์ฟ เค้าจะยอกเครื่องเคียงมาให้ ประกอบด้วย ซุปสาหร่าย และจานใส่เครื่องเคียงเล็กๆ มีกิมจิผักกาดขาว ชิจิมิ (แป้งทอดใส่ผักและพริก แบบเดียวกับมอนจายากิ หรือโอโคโนมิยากิของญี่ปุ่น) และผักโขมคลุกน้ำมันใส่งาขาว และซอสพริกแยกต่างหากมาให้อีกถ้วยนึง เผื่ออยากเติมลงในข้าวอีก




รสชาติมันไม่ได้ชัดเจนโดดเด่นนักนะว่าเผ็ด เค็มๆ หรืออะไร แต่เราชอบตรงที่มีผิวสัมผัสของผักให้เคี้ยวหลากหลายมากเลย พวกเห็ดมันก็จะหยุ่นๆ เหนียวๆ หน่อยใช่มั๊ย ส่วนผักโขมก็นุ่มๆ แล้วก็มีเจอกรุบๆ ของถั่วงอก แล้วข้าวข้างล่างสุดก็กรอบๆ ติดกระทะนะ สรุปคือกลายเป็นอร่อยดีแฮะ และอยากจะไปอีกล่ะ คราวหน้าจะลองสั่ง “บิบิมบับปลาหมึก” ดูนะ (ราคา 280 บาท)



ภูฟ้าผสมผสาน
ร้านสุดท้ายของวัน เดินเข้าไปเพราะอยากหาร้านขายเครื่องดื่มที่นั่งได้นานๆ และราคาไม่แพง เนื่องจากต้องนั่งรอเวลาสำหรับอีกนัดนึง ถึง  2 – 3 ชั่วโมงเลยล่ะ ร้านภูฟ้าผสมผสานจึงเป็นตัวเลือกของเราไป เพราะราคาเครื่องดื่มเป็นมิตรมากๆ แค่แก้วละ 35 – 45 บาทเท่านั้นเอง



ชามะระขี้นก

เราอ่านเมนูที่อยู่ตรงเคาน์เตอร์ แล้วถามพนักงานว่า "ชามะระขี้นก" มีสรรพคุณอะไรบ้าง เค้าก็บอกว่ามันช่วยแก้ไข้ แก้ร้อนในได้ ซึ่งเราตอนนั้นเริ่มจะไข้ขึ้นแล้ว แถมปวดหัวไมเกรนมาแต่เช้า เพราะแอร์ที่แรงเกินไปของห้างในบริเวณที่เราต้องไปเจอลูกค้า ก็เลยสั่งชามะระขี้นกเย็นนี่แหละ แก้วละ 35 บาทเท่านั้น ถูกชะมัด


ตอนแรกก็นึกว่าจะขมมากจนกินแล้วไม่อร่อย ปรากฏว่ามันไมได้ขมขนาดนั้นอ่ะ ก็กินได้นะ คือถ้าปกติเป็นคนที่กินแกงจืดมะระได้ ก็จะกินชามะระขี้นกได้น่ะ เพราะความขมอยู่ในระดับเดียวกัน แต่เค้าเสิร์ฟน้ำเปล่ามาให้ด้วยนะ เอาไว้ล้างปาก เผื่อรู้สึกว่าขมเกินไป


เห็นมีชาชนิดอื่นอยู่อีกเพียบเลย ล้วนแล้วแต่มีสรรพคุณทางยาทั้งนั้น ว่าจะไปกินอีกนะ
ถ้าไปพารากอน


                                                   ***************

เสร็จสิ้นการกินและการสำรวจคราวนี้ละ คราวหน้าเล็งร้าน Midtown กับร้านปิ้งย่างข้างๆ Tudari ไว้ เดี๋ยวจะต้องจัดไปซะหน่อย

อิตาเลียนพบญี่ปุ่น ที่ On The Table เซ็นทรัล ลาดพร้าว

อ๊ะๆๆๆ!!! เจอร้านโปรดร้านใหม่แล้วล่ะ นอกจาก Patio ที่เลิฟสุดๆ


มันคือร้าน "On The Table" ที่เซ็นทรัล ลาดพร้าวน่ะเอง!!


Salmon Carpaccio (ซัลมอน คาร์ปาชิโอ้)


เราชอบร้านนี้เพราะว่ามันลงตัวระหว่างอาหารสองชาติที่เราชอบกินสุดๆ คือ อาหารญี่ปุ่น พวกปลาดิบ ซูชิ มากิ และสลัดญี่ปุ่น กับพวกพาสต้า และวัตถุดิบแบบอิตาเลียนๆ ทั้งหลาย เช่นพาร์มาแฮม พาร์มิซานชีสไรเงี้ย


พอเรากับน้องสาวเจอร้านนี้ มันเลยลงตัวพอดี เพราะนอกจากจะชอบอาหารญี่ปุ่นด้วยกันทั้งคู่แล้ว เราสองพี่น้องยังเป็น “ซัลมอนเลิฟเวอร์” อีกด้วย กินหลักๆ คือซัลมอนดิบ ซัลมอนรมควัน แบบสุกๆ ไม่ค่อยชอบกินกันเท่าไหร่


เมนูที่เรากับน้องลองสั่งมากินแล้วติดใจก็มี


พาร์มา มากิ
Parma Maki  ( ราคา 240บาท / 6 ชิ้น) มากิที่ประยุกต์เอาพาร์มาแฮมมาห่อไว้ด้านนอก ส่วนด้านในก็ห่อซัลมอนดิบที่ห่มสาหร่าย แล้วก็ใส่ครีมชีส และซุกินี่  ราดน้ำซอสที่ออกหวานๆ เค็มๆ และข้นๆ มาด้วย มันช่างเป็นมากิที่มีรสชาติหลากหลายอยู่ในคำเดียว และอร่อยจนไม่อยากให้หมดเลยจริงๆ


อุนาหงิ ชิราชิ (ราคา 200 บาท) อันนี้เป็นซูชิหน้าปลาไหลย่างซีอิ๊ว  ที่เอามาผสมกับอะโวคะโด มายองเนส ซุกินี่ และไข่กุ้งรสชาติปลาไหลออกหวานๆ  มาเจอกับความมันของอะโวคะโด และความเปรี้ยวๆ หวานๆ ของมายองเนส บวกกับความกรุบกรอบของซุกินี่ และไข่กุ้ง นี่ก็เป็นซูชิอีกเมนูหนึ่งที่เราประทับใจในความหลากหลายของรสชาติที่ได้คำเดียวจริงๆ เลย (แต่หัวไชเท้าดองสีเหลืองๆ ที่เสิร์ฟมาคู่กันนั่นไม่อร่อยเลยอ่ะ เหม็นไปหน่อย และแข็งไปนิด)


Salmon Carpaccio (ราคา 180 บาท) อันนี้ถูกใจเรากับน้องมาก เพราะมันเป็นซัลมอนดิบที่ให้มาเยอะพอสมควรเลย กับราคาแค่นี้ ด้านบนของซัลมอนวางผักร็อกเก็ตมาด้วย แล้วก็โรยพาร์มิซานชีส ราดน้ำส้มบัลซามิกตามให้รสชาติเค็มๆ เปรี้ยวๆ มันๆ ดี กินแล้วนึกถึงประเทศกรีซแฮะ ทำไมไม่รู้เหมือนกัน



Capellini Arabiki Sausage
 Capellini Arabiki Sausage  (ราคา 170 บาท)  อยากกินสปาเก็ตตี้ และโจทย์คือไม่เอาพวกครีม
ชีส ครีมข้นเลี่ยนๆ อยากกินแบบผัดพริกกระเทียมแห้งๆ มากกว่า เลยมาลงตัวที่เจ้าจานนี้นี่แหละ มันเป็นสปาเก็ตตี้ที่ผัดมากับพริกแห้งและกระเทียมสไลด์บางๆ  พร้อมด้วยใบโหระพา ตามด้วยไส้กรอกเนื้อแน่นๆ ชื่อแปลกๆ ว่า อาราบิกิ ก่อนกินโรยเกลือพริกไทยเล็กน้อย อร่อยอย่าให้เซด


Tokyo Salad  (ราคา 240 บาท) อันนี้น้องเราสั่ง มันเป็นสลัดที่น่าจะเรียกว่าสลัดรวมซีฟู๊ดจะถูกกว่านะ เพราะมันมีทั้งปลาทูน่าดิบ ซัลมอนดิบ กุ้ง ปูอัด และสาหร่ายวากาเมะ ส่วนผักก็มีกรีนโอ๊ค เรดโอ๊ค แล้วก็ราดน้ำสลัดวาซาบิลงไป ตามด้วยโรยงาขาว งาดำ รู้สึกว่ากินแล้วเบาๆ ดี



Tokyo Salad

อุนาหงิ ชิราชิ
 

มาที่ของหวานกันบ้าง



Apple Crumble
 
Apple Crumble + ไอศกรีมวานิลลา  (ราคา 110 บาท)  อยากลองดูว่าที่นี่จะทำแอปเปิ้ล ครัมเบิ้ลได้อร่อยเหมือนร้านนึงที่เราเคยไปกินมาแล้วชอบมากๆ รึเปล่า กินแล้วก็ถือว่าอร่อยใช้ได้เลยนะ แต่ถ้วยเล็กไปหน่อย และแพงไปนิด ชอบตรงที่มันเสิร์ฟมาแบบร้อนควันฉุยเลย แป้งครัมเบิ้ลด้านบนกรอบมาก ชุ่มช่ำด้วยรสเนยนม ส่วนแอปเปิ้ลข้างล่างก็อบมาจนนุ่ม หอมหวานอมเปรี้ยว เวลากินคู่กับไอศกรีมวานิลลาเย็นๆ ที่เสิร์ฟมาคู่กัน จะยิ่งอร่อยมากขึ้น


Green Tea Affrogato  (ราคา 120 บาท) อันนี้เป็นขนมที่สนุกดี เพราะเวลาจะกิน ต้องเทเอสเพรสโซ่อุ่นๆ ลงไปในถ้วยไอศกรีมซะก่อน สำหรับอัฟโฟรกาโต้ถ้วยนี้ เป็นไอศกรีมรสชาเขียว ที่รองก้นด้วยซอสคาราเมลและวิปครีม ด้านบนโรยคอนเฟลคกรอบๆ เวลาเทเอสเพรสโซ่ลงไป ต้องค่อยๆ เท ค่อยๆ กินนะ ไม่งั้นความร้อนของเอสเพรสโซ่ จะทำให้ไอศครีมและวิปครีมละลายหายไปหมด



Green Tea Affrogato


ต่อมาก็เครื่องดื่ม ซึ่งร้านนี้ถูกใจเรากับน้องมากๆ เลย



สตรอเบอร์รี่ ไลม์ โซดา
 
สตรอเบอร์รี่ ไลม์ โซดา  (ราคา 75 บาท)  มันเป็นน้ำสตรอเบอร์รี่สีแดงสดใส ใส่โซดาซ่าๆ เสริมด้วยสตรอเบอร์รี่ฝานบางๆ แก้เลี่ยนได้ดียิ่งนัก


Red Berry Smoothie (ราคา 80 บาท) สมูทธีรวมเบอร์รี่สีแดงๆ รสชาติผลไม้เข้มข้นมาก เปรี้ยวๆ  หวานๆ เป็นอีกแก้วที่ดับเลี่ยนได้ดี และชื่นใจเมื่อได้ดื่ม


แครนเบอร์รี่ ไลม์ โซดา (ราคา 75 บาท) อันนี้เป็นน้ำแครนเบอร์รี่สีออกม่วงๆ ใส่ไลม์โซดาซาบซ่ามาด้วย



Red Berry Smoothie


แครนเบอร์รี่ ไลม์ โซดา
 

เครื่องดื่มร้านนี้มีหลากหลายให้เลือกเลยนะ ไม่ได้มีแต่แบบเปรี้ยวๆ เท่านั้น พวกมิลค์เชค หรือพวกโกโก้ กาแฟอะไรเค้าก็มี แต่เรากับน้องโปรดปรานพวกเครื่องดื่มผลไม้เปรี้ยวซ่าที่สุดแล้ว เลยสั่งมาแต่แบบนี้








ร้านนี้อยู่ชั้นล่างของห้างเซ็นทรัล พลาซ่า ลาดพร้าวนะ ตรงข้ามกับร้าน Forever 21 ที่ตั้งของร้านนี้เคยเป็นร้าน KFC เก่านั่นแหละ หรือใครสะดวกไปที่เซ็นทรัลเวิลด์ก็ได้ มีเหมือนกัน แต่เราจำไม่ได้ว่าอยู่ชั้นไหน โซนไหนนะ ลองไปหากันดู





และเหตุผลที่ทำให้เราชอบร้านนี้ นอกจากมันจะมีอาหารเมนูแปลกๆ ใหม่ๆ ที่ยังไม่เคยกินที่ไหนมาก่อนแล้ว ราคายังสมเหตุสมผลซะเป็นส่วนหใญ่อีกด้วย คือ ถ้าเป็นร้านอื่น อาหารบางอย่างจะต้องราคา 280 อัพแน่ๆ แต่ที่นี่แค่ 180 - 240 เท่านั้น รู้สึกว่าเป็นราคาที่ไม่เอาเปรียบผู้บริโภคดี




วันอาทิตย์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2555

เมื่อเราแวะไป Rain Hill กิน Ramen Kio และ Penguin Likes Chocolate





หายไปนานนนนนมากเลยเนอะเรา....ตั้งแต่น้ำท่วม ก็มิได้ไปที่ไหนเป็นพิเศษเลย เพิ่งมาเริ่มออกตระเวนกินอะไรอร่อยๆ อีกครั้ง เมื่อเดือนมกรานี่เอง และตอนนี้ก็ได้มาหลายร้านแล้วล่ะ เลยได้ฤกษ์กลับมาเขียนบล็อกซะที และอย่างที่บอกไว้เมื่อปีที่แล้วว่า ต่อไปนี้ทุกร้านที่รีวิว จะเป็นร้านที่ไปกินมาเองนะ ไม่ได้เป็นร้านที่ได้มาจากการทำงานแล้ว ฉะนั้นจ่ายเงินกินเองทุกบาททุกสตางค์ค่ะ



และตอนนี้ มีที่เปิดใหม่อีกแล้วนะ ชื่อว่า Rain Hill คราวนี้ไปง่ายเลย เพราะว่าอยู่ริมถนนใหญ่ ลงบีทีเอสที่สถานีพร้อมพงษ์ แล้วเดินย้อนขึ้นไปทางทองหล่อนิดนึง ก็จะถึง เรนฮิลล์แล้วล่ะ


จริงๆ เราตั้งใจจะมาดูร้าน 2046 ซะหน่อย แต่มันเปิด ห้าโมงครึ่ง ซึ่งเพื่อนที่ไปด้วยกัน ต้องรีบกลับไปซ่อมบ้านหลังน้ำท่วม เพื่อนเค้านัดช่างมาติดตั้ง และเดินท่อเครื่องซักผ้าไว้ เลยเอาเป็นว่า 2046 ไว้คราวหน้าแล้วกัน


เท่าที่ดูแล้ว ด้านบนสุดยังไม่เสร็จดีเลย ร้านอื่นๆ ก็มีส้มตำดอกรัก ซึ่งเราอยากกินอะไรที่ไม่ใช่อาหารไทยอ่ะ ไวน์ คอนเนคชั่น ก็ดูจะหนักไปหน่อย อีกร้านจำชื่อไม่ได้ แต่รู้สึกว่ายังไม่โดน เลยมาจบลงตรงที่สองร้านนี้นี่แหละ




Ramen Kio





ร้านนี้อยู่ชั้นสองนะ ขึ้นบันไดเลื่อนมา มองตรงไป จะอยู่ทางซ้ายมือ ร้านใหญ่พอสมควร แต่ที่นั่งที่เป็นบาร์ติดริมหน้าต่างกระจกบานยาวน่านั่งมาก เพราะมองเห็นวิวและท้องฟ้าได้ชัดๆ เต็มๆ ตา


มื้อนี้เพื่อนเราสั่ง “โชยุราเมง” 185 บาท มากิน  เพราะชีหิวมาก เป็นราเมงน้ำใสๆ มีงาขาวกับต้นหอมซอยโรยมาด้านบนรสชาตินุ่มนวลกลมกล่อม เค็มนิดๆ กำลังดี ส่วนหมูชาชูเป็นสูตรโฮมเมดที่ขอบด้านนอกมันจะเป็นสีดำๆ ไม่เหมือนแบบร้านอื่นที่เคยกินมาอ่ะ (ที่เมนูเค้ามีอธิบาย แต่เราไม่มีเวลาได้อ่านอ่ะ พนักงานมาไวมาก)


ส่วนของเราเอง สั่ง “ข้าวผัดชาชูกระทะร้อน” (อิชิยากิ ชาฮัง) 140 บาท ข้าวผัดชาฮัง ใส่หมูชาชูหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ เสิร์ฟมาในกระทะร้อน ที่ร้อนจริงๆ แบบมีควันพวยพุ่งออกมาจากข้าวผัดเลยทีเดียว มีเสียงดังฉ่าๆ เป็นซาวด์เอฟเฟคท์แถมมาด้วย ข้อดีคือ มันช่วยให้ข้าวร้อนอยู่ได้นานมาก ขนาดมัวแต่ถ่ายรูปอาหารกันอยู่ (เพื่อเอาไปใช้งานของใครของมัน) กลับมากินข้าว มันก็ยังร้อนอยู่เลยอ่ะ


ข้าวผัดชาชูกระทะร้อน


ถ่ายรูปกันอยู่ตั้งนาน ข้าวก็ยังไม่หายร้อนเลยนะ…


ไก่คาราอาเกะ

ส่วนรสชาติก็โอเคนะ เค็มๆ หวานต้นหอม แต่หมูชาชูหั่นมาชิ้นเล็กเกิ๊น หาไม่ค่อยเจอ เลยไม่ได้ผิวสัมผัสของหมูชาชูแต่อย่างใด ส่วนข้าวกินไปนานๆ จะรู้สึกว่าเลี่ยนอ่ะ เพราะน้ำมันเยอะไปนิด
แต่ที่ใช้ได้ และชอบมากๆ คือ  “ไก่คาราอาเกะ” 130 บาท ไก่ชิ้นหนาๆ และติดมันนิดๆ  เลยทำให้นุ่มมาก มีรสเค็มนิดๆ กำลังดี เสียดายไม่มีซอสเทอริยากิหวานๆ มาให้จิ้มด้วย ไม่งั้นคงยิ่งอร่อยกว่านี้นะ


ส่วนเครื่องดื่ม พอเราลงนั่งปุ๊บ เค้าจะเสิร์ฟชาเขียวเย็นให้เราทันทีเลยอ่ะ ไม่ต้องสั่ง แล้วมันก็รีฟิลด้วย ที่สำคัญคือฟรีค่ะ ไม่คิดตังค์อ่ะ ไม่รู้ว่าแค่เฉพาะช่วงที่เปิดใหม่รึเปล่านะ ต้องลองไปหลังจากนี้อีกที


สรุปว่า “ราเมง คิโอะ” ก็จัดว่าใช้ได้นะ แต่ยังไม่ถึงกับเป็นร้านที่ต้องกลับไปกินอีกเป็นพิเศษ หรือต้องดั้นด้นไปแถวนั้น เพื่อไปกินมันอ่ะ อาจเป็นเพราะร้านเค้าไม่มีไฮไลท์ของอาหารที่เด่นๆ เท่าไหร่มั้ง เราเลยรู้สึกว่ามันเฉยๆ



เส้นเหนียวนุ่มน่ากิน

ข้าวผัดหมูชาชู

ชานี้แหละ ที่เค้าเสิร์ฟฟรี และเป็นฟิลฟรี

แต่ไฮไลท์ของร้านกลับไมได้อยู่ที่อาหารแฮะ มันกลับไปอยู่ที่วิธีการบอกลาลูกค้า ของพนักงานในร้านอ่ะ คือ พอลูกค้ากินเสร็จ จ่ายตังค์ และเดินออกจากร้าน พนักงานก็จะช่วยกันพูดภาษาญี่ปุ่นเสียงดังมากๆ เราคาดว่าคงเป็นประโยคแนวๆ ขอบคุณที่มาอุดหนุนอะไรงี้มั้งนะ แต่เสียงมันดังมากจริงๆ เลยนะ เรียกว่าเดินออกจากร้านที ก็เด่นกันเลยล่ะ







จบของหนักๆ แล้ว มาต่อที่ของหวานกันต่อ



Penguin Likes Chocolate









ร้านนี้คุณเพื่อนรีเควสต์มาเอง เพราะคุณเธอชอบคอนเซปท์ของร้าน และเป็นร้านที่หมายมั่นปั้นมือว่าจะต้องมาแวะชิมให้ได้


ตัวร้านจะเล็กๆ แคบๆ และนั่งมีที่นั่งไม่เยอะ ถ้าร้านนี้มันเกิดฮิตขึ้นมา คงต้องเล่นเก้าอี้ดนตรีกันหน่อยล่ะ


เมนูจะมีทั้งที่ขายเป็นชิ้นๆ และแบบที่เค้าเซ็ตมาให้ว่าขนมอันนี้เสิร์ฟคู่กับอันนี้ …เรานั่งสั่งที่โต๊ะได้เลย แต่เวลาคิดตังค์ต้องไปคิดที่เคาน์เตอร์ ช่วงนี้เปิดใหม่ มีโปรโมชั่น กินครบ 300 บาทขึ้นไป ลด 10 % แต่ดันลืมถามว่าลดถึงเมื่อไหร่ แป่วววว


ตอนแรกที่เข้าไปในร้าน อยากกินบราวนี่ที่ด้านบนกรอบๆ ที่เราเห็นบนป้ายหน้าร้านซะหน่อย แต่ประเมินดูแล้ว เราไม่อยากกินไอศกรีมที่เสิร์ฟมากับมันอ่ะ เพราะไม่สบาย ไม่อยากกินอะไรเย็นๆ เลยตกลงใจกิน “ทอฟฟี่ บานอฟฟี่”  ดีกว่า (95 บาท)  เพราะเราชอบกินของโปรดจากหลายๆ ร้าน แล้วเอามาเปรียบเทียบกันว่าร้านไหนอร่อยที่สุด




Toffee Banoffee
 “ทอฟฟี่ บานอฟฟี่” เปิดฉากมาก็เจอซอสคาราเมล ใช่เลย !! ชอบแบบนี้แหละ เพราะว่าบางร้านใช้ซอสช็อกโกแลตนะ ซึ่งเราว่ามันไม่ช่วยขับรสชาติซึ่งกันและกัน ระหว่างคุ้กกี้ข้างล่าง กับกล้วยและตัวซอสเลย แต่ถ้าเป็นคาราเมลเค็มๆ หวานๆ มันเข้ากันกับกล้วยมากกว่า เพราะกล้วยมันก็หวานอยู่แล้ว ควรจะมีอะไรเค็มๆ มันๆ มาตัดรสกล้วยซักหน่อย ไม่งั้นเค้าไม่กินเนยแข็งเค็มๆ กับกล้วยเป็นของว่างหรอก ...


เสียดายที่ Penguin Likes Chocolate เค้าอุตส่าห์เลือกใช้ซอสคาราเมลแล้วทั้งที แต่กลับทำออกมาเป็นรสหวานๆ ไม่มีรสเค็มเจืออยู่เลย รสมันเลยกลืนๆ กันไปหมด...แต่โดยรวมแล้วก็อร่อยอยู่หรอก แค่มันยังไม่ทำให้ฝันถึงเท่านั้นเอง ไม่เหมือนบานอฟฟี่ ร้านกาแฟดอยช้าง จันทบุรี ที่น้องเราซื้อมาฝากตอนไปเที่ยว โอ้โห !!! อันนั้นอร่อยมากกกก ซอสคาราเมลเหนียวๆ รสชาติเข้มข้น หวานเค็มมันเนย ขับรสกล้วยและคุ้กกี้ช็อกโกแลตข้างล่าง ของแบบนี้แหละที่ฝันถึงว่าอยากกินอีกๆๆๆ แต่มันอยู่ตั้งจันทบุรี ต้องรอน้องไปเที่ยวอีก ถึงจะได้กินอ่ะ แต่คุ้มค่าแก่การรอคอยมากนะ ร้านกาแฟดอยช้าง จันทบุรีเนี่ย ถ้ามีโอกาส จะเอามารีวิวให้ดูกัน


กลับมาที่น้องเพนกวิน...







เพื่อนเราสั่ง “วาฟเฟิล สตรอเบอร์รี่” 
(145 บาท)  วาฟเฟิลอันใหญ่มาก ราดน้ำผึ้ง
กับ ซอสช็อกโกแลต แล้วก็โรยไอซิ่งกับ
สตรอเบอร์รี่หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ  วาฟเฟิลก็
กรอบดีนะ แต่เรากินแล้วยังไม่รู้สึกว่ามัน
มีอะไรแปลกใหม่ในรสชาติอ่ะ เฉยๆ มาก


ส่วนเครื่องดื่มเราสั่ง "Signature Chocolate" (95 บาท)  ช็อกโกแลตเย็นแก้วใหญ่ราดนมสดมาให้ด้านบนอย่างเยอะ โรยผงช็อกโกแลตมาด้วยเก๋ๆ รสชาติก็เข้มข้นดี ไม่หวานเกิน


แล้วก็แอบไปชิม "ชา Twining เย็น" ของเพื่อน (65 บาท) จำไม่ได้แล้วว่า เพื่อนสั่งชาเขียว หรือชาอะไร แต่ขอชิมไปนิดนึง รู้สึกว่ามันยังไม่ค่อยหอมเท่าไหร่ ไม่ค่อยได้กลิ่นชาเลย เราว่าเราชงเอง มันยังจะหอมกว่านี้นะ ปกติชายี่ห้อนี้ หอมจะตายไป


Signature Chocolate กับ ชา Twining เย็น


ร้านนี้ ถ้าจะถามว่าชอบตรงไหน ก็คงชอบที่บรรยากาศและการตกแต่งนะ จัดร้านน่ารักดี มีกิมมิคเป็นเพนกวิน ส่วนขนมและเครื่องดื่ม ก็อร่อย แต่ยังไม่ถึงกับฝันถึงเช่นเดียวกับร้านราเมงข้างบน






แต่ว่า ยังไงก็ตาม เรากะว่าจะกลับไปลองบราวนี่ของเค้าอีกรอบ เพราะไปแอบดูมาแล้ว มันน่ากินดีนะ … แล้วเดี๋ยวจะมาบอกว่ามันเป็นยังไง



                                      Rain Hill


ข้างบนคือ ที่นั่ง out door ของร้าน 2046 ส่วนข้างล่าง คือ Wine Connection 





หน้าร้าน 2046

ม่านน้ำตกเหมือนฝนตก สมกับชื่อ Rain Hill

โอ บอง แปง สาขานี้น่านั่งมากๆ
ที่นั่งด้านนอกของ Wine Connection