วันพฤหัสบดีที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ร้านกาแฟ ณ ดอยช้าง เอกมัย

โซฟาลายสวยกับการตกแต่งแบบ Contemporary
มีโอกาสอันดีได้รู้จักกับ “คุณแฮค” หญิงสาวคนหนึ่งผ่านทางเว็บเครือข่ายสังคมอย่างเฟซบุ๊ค เธอเล่าความฝันของเธอให้ฟัง ปิดท้ายด้วยการบอกว่าวันนี้ความฝันเล็กๆ ของเธอเป็นจริงแล้ว นั่นคือการ เปิดร้านกาแฟ


และร้านนั้นก็คือร้านกาแฟ “ณ ดอยช้าง” เอกมัย

ที่แม้ว่ามันจะเป็นร้านกาแฟเล็กๆ ไม่ได้ใหญ่โตโอ่โถงเหมือนร้านกาแฟเจ้าดังๆ แต่ว่าข้างในนั้นก็บรรจุความฝันของคุณแฮคและเพื่อนๆ ของเธอเอาไว้อย่างเต็มเปี่ยม คุณแฮคเธอทำงานประจำไปด้วย และขับรถยิงยาวจากโคราชมากรุงเทพฯ ทุกเย็นวันศุกร์ เพื่อที่จะมาดูแลร้านของเธอในวันเสาร์ – อาทิตย์ และสนุกกับการทำลาเต้อาร์ตสวยๆ ของน้องๆ ที่มาช่วยกันดูแลร้าน และเป็นบาริสต้าให้






วัฟเฟิล, ลาเต้เย็น กับลาเต้ร้อน
 ณ ดอยช้าง  ค่อนข้างจะคอนทราสต์กับ
 บรรยากาศรถติตเป็นตังเมอันเป็นเอก
 ลักษณ์ของเอกมัยอยู่พอสมควร อาจ
 เป็นเพราะด้านหลังร้านเชื่อมต่อกับร้าน
 สปาเบอรร์รี่ (ไปลองมาแล้ว ห้องหับ
 สวยงาม พนักงานนวดใช้ได้)

  พอเดินเข้าไปในร้านก็สะดุดตากับลายเพนท์
  สวยๆ บนผนัง ที่ด้านหนึ่งก็สีจัดจ้านสุดๆ ส่วน
  อีกด้านหนึ่งก็เป็นสีขาวสะอาดตา แต่ที่เด่น
  กว่าอะไรทั้งหมด คือเก้าอี้สีชมพูช็อกกิ้งพิงค์
  ที่ดูวินเทจๆ สีมันแรงกระแทกตาดีจริงๆ แต่
  ถ้าให้เลือกนั่ง เราจะนั่งตรงชุดเก้าอี้สีเขียว
  ใบไม้ที่วางเอาไว้ข้างกระจกใสบานใหญ่
   เพราะด้านข้างเป็นสวนต้นไม้เขียวๆ กับ
   บ่อปลาคาร์พ บางทีการได้พักสายตากับ
   อะไรเขียวๆ ก็ช่วยให้สบายใจดีเหมือนกันนะ


ร้านนี้เค้าใช้ชื่อ “ณ ดอยช้าง" เพราะเค้าใช้กาแฟแบรนด์ไทยชื่อดัง อย่าง “กาแฟ ดอยช้าง” จากเชียงราย เป็นวัตถุดิบสำคัญ ในการทำเครื่องดื่มอร่อยๆ ทั้งร้อนและเย็นให้ลูกค้าดื่ม



มุมเก้าอี้สีเขียวข้างสวน
ที่เอามากินวันนี้มี ลาเต้ร้อน
ลาเต้เย็น กับ มอคค่าร้อน แล้วก็วัฟเฟิล จริงๆ แล้วปกติเราเป็นคนที่ไม่ชอบกินกาแฟเท่าไหร่ เพราะไม่ชอบคาเฟอีน แต่ถ้าอยากจะกินขึ้นมาจริงๆ เมนูที่จะสั่งคือ “มอคค่า” (ที่เข้าใจเอาเองมาโดยตลอดว่า มันคือ “ช็อกโกแลตที่ใส่กาแฟ” ทั้งที่จริงๆ แล้วมันคือ “กาแฟที่ใส่ช็อกโกแลต” ต่างหาก TT_TT)

ได้มอคค่าร้อนๆ มากลั้วคอซะหน่อย เริ่ด !!! (แล้วก็หลอกตัวเองต่อไปว่ามันคือ “ช็อกโกแลตใส่กาแฟ”)


และเนื่องจากไม่ใช่คอกาแฟอะไรมากมาย เลยไม่สามารถจะอรรถาธิบาย อะไรได้มากนัก บอกแต่ความรู้สึกของตัวเองล้วนๆ เลยว่า มันหอม และรสชาติเข้มข้นหวานมันจริงๆ อันนี้ต้องยกความดีให้กับกาแฟดอยช้าง และบาริสต้าของที่ร้าน ที่ชงกาแฟอร่อยๆ มาให้เรากินนะเนี่ย


“ณ ดอยช้าง” มีพิกัดอยู่ติดๆ กับร้านสบายใจไก่ย่าง และอยู่ตรงข้ามกับเอกมัยช็อปปิ้งมอลล์ ปากซอยเอกมัย 10 ใครไม่อยากเจอรถติด ก็มาโดยรถไฟฟ้า แล้วนั่งมอไซค์เข้ามาแทนนะ บอกเค้าว่าไปสบายใจไก่ย่าง ไปฝั่งตรงข้ามเอกมัยช้อปปิ้งมอลล์ หรือร้าน ณ ดอยช้าง ก็ได้ เลือกเอาสักอย่าง เค้าต้องรู้จักซักที่แหละน่ะ ค่ารถมอไซค์ 10 บาท

แต่ถ้าแดดร่มลมตกแล้ว ใครอยากเดินก็สามารถเดินได้ สำหรับคนชอบเดิน มันไม่น่าจะไกลมาก แต่ถ้าคนที่ไม่ชอบเดิน ก็อาจจะมีบ่นนิดหน่อย และอยากบอกว่า โซนแถวเอกมัยซอย 10 เนี่ยมันกำลังเป็นแหล่ง hang out แหล่งใหม่ของเรากับเพื่อนๆ แหละ เพราะว่า มันมีร้านอื่นๆ ที่เราชอบมานั่งอีกร้านหนี่งอยู่ด้วยน่ะสิ แค่เดินข้ามมาอีกฝั่งหนึ่ง จากร้านกาแฟ “ณ ดอยช้าง” นี่แหละ เดี๋ยวเอนทรีหน้าจะมาเล่าให้ฟังว่ามันคือร้านอะไร




มุมติดถนน ดูไปแอบดีใจที่ได้นั่งตากแอร์เย็นๆ
เก้าอี้สีชมพูวินเทจที่สีตัดกันอย่างแรงกับผนัง


ลาเต้ร้อน
ลาเต้เย็น

มอคค่าร้อน











ไปดูรูปแบบเต็มๆ กันได้ที่ อัลบั้ม Review Review :: Food for me !!!!!

วันจันทร์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ยำแกะย่าง ที่ Another Hound Cafe

ยำแกะย่าง
Anotherhound Café ที่พารากอน เป็นร้านโปรดอีกหนึ่งร้าน รองจาก Patio ที่เราชอบไปกินบ่อยๆ เวลาที่นึกอะไรไม่ออก และไม่อยากจะเสี่ยงกับร้านที่ยังไม่เคยไปกินมาก่อน


เวลาไปร้านประจำที่เราไปบ่อยจนจำหน้าพนักงานเสิร์ฟได้เนี่ย ไปกินคนเดียวก็ไม่รู้สึกว่ามันแปลกๆ ไม่ต้องเกร็งๆ เนอะ ว่าจะเอามือไปวางตรงไหนดี เคยเป็นกันมั่งมั๊ยล่ะ....บางทีเราก็เป็นนะ


แต่ถ้าเป็นร้านประจำ มันจะรู้ว่าอะไรอยู่ตรงไหน อย่าง Patio ก็แทบไม่ต้องเปิดเมนูเลย เพราะว่าสั่งอยู่แค่ 2 อย่างสลับกันไปมา คือ สลัดเป็ดทอดกับผักร็อกเก็ต และ สปาเก็ตตี้ขาเป็ดทอดกรอบ เดี๋ยวเอาไว้ที่ CTW มันดูน่าไว้วางใจมากกว่านี้ คงจะได้ฤกษ์กลับไปกินกันอีกครั้ง



ที่เกรย์ฮาวด์ เราชอบตรงที่อาหารที่นี่มักจะทำให้เราประหลาดใจในการครีเอตเมนูอยู่เสมอ ว่ามันเอาไอ้นี่ มากินกับไอ้นั่นได้ด้วยเหรอเนี่ย ของบางอย่างมันดูไม่น่าจะเข้ากันได้เล้ย เช่นเมนูที่เราชอบสั่งบ่อยๆ เนี่ยแหละ


“ยำแกะย่าง” หรือ “Spicy Grilled Lamb” (ราคา 240 บาท) ปกติมีเนื้อสัตว์อยู่สองชนิดที่เราชอบกินมากๆ แบบให้กินมันทุกวันก็ได้ คือเนื้อเป็ด ทุกสายพันธ์ (เน้นไปที่เป็ดทอด เป็ดย่าง ส่วนเป็ดพะโล้นี่ไม่ค่อยชอบ) และ เนื้อแกะ จริงๆ เนื้อแกะชอบกินที่มันติดกับซี่โครงมากที่สุด เพราะมันมีไขมันติดๆ มาด้วย เวลาเอาไปย่างแล้วอร่อยชะมัดเลย


แล้วไอ้ยำแกะย่างจานนี้รสชาติมันประหลาดยังไงน่ะเหรอ ก็เค้าเอาแกะย่างมาคลุกกับน้ำยำ ที่เราพยายามแกะรสชาติออกมาแล้ว คิดว่ามันทำมาจากน้ำส้มพริกชี้ฟ้าเหลืองตำนะ มันเลยไม่ใช่รสเปรี้ยวแหลมๆ แบบมะนาว หรือเปรี้ยวนวลๆ แบบน้ำมะขามเปียกอ่ะ แต่มันก็ตัดรสกันดีแฮะ ยิ่งพอในจานมันมีก้านซาเลอรี่หั่นขวางชิ้นหนาๆ มาด้วย เอาเข้าปากไปพร้อมกัน แล้วให้รสชาติประหลาดๆ ดี แล้วมันก็เป็นรสชาติที่ไม่คุ้นเคยมาก่อน นี่ถ้าใส่เส้นก๋วยเตี๋ยวลงไป มันก็คือก๋วยเตี๋ยวเนื้อตุ๋น หรือก๋วยเตี๋ยวเรือดีๆ นี่เองแหละ



Innocent Voyage เครื่องดื่มที่สั่งเป็นอยู่อย่างเดียว
ยังมีเมนูแกะที่ไปกินในที่อื่นๆ อีก รวมทั้งเมนูเป็ดในที่อื่นๆ อีกเหมือนกัน เดี๋ยวจะลองเอามันมาเปรียบเทียบราคา และรสชาติให้อ่านกันดูนะ เพราะจะบอกว่าจริงๆ ร้านที่ราคากลางๆ อย่าง Patio หรือ เกรย์ฮาวด์ ของบางอย่างก็อร่อยกว่าอาหารในโรงแรมห้าดาวซะอีก (เมื่อก่อนตอนทำนิตยสาร เวลาไปงานอีเวนท์ต่างๆ ก็ได้กินอาหารตามงานเหล่านั้นอยู่บ่อยๆ ไง เลยพอจะเปรียบเทียบรสมือของเชฟแต่ละโรงแรมได้อยู่บ้างนะ)



ใครคิดว่าชาตินี้จะไม่กินเนื้อแกะ เพราะกลัวว่ามันจะเหม็นสาบ ขอบอกว่าถ้าเค้าทำดีๆ มันก็ไม่เหม็นสาบหรอก แล้วมันก็เหมาะกับคนที่ไม่กินเนื้อวัว แต่ยังอยากได้ texture ของเนื้อแบบเนื้อวัวอยู่ เราว่าเนื้อแกะนี่แหละ ที่มันพอจะทดแทนกันได้ ย่างแล้วได้สีเข้มๆ เหมือนเนื้อ ความเหนียวสู้ฟันมีพอๆ กัน และเวลาส่วนที่ติดมันโดนเปลวไฟ ก็ให้รสอร่อยเหมือนกันเด๊ะ มันให้อารมณ์ในการกินกว่าเนื้อหมู เนื้อไก่แน่นอน ลองกินดูนะ

วันอาทิตย์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ตระเวนกินถิ่นอัมพวา

เคยมั๊ย ที่รู้สึกว่าอยากจะไปเที่ยวต่างจังหวัดกับเค้าบ้าง ไปสูดอากาศบริสุทธิ์เข้าปอดบ้าง แต่ว่าก็ขี้เกียจจะไปไหนไกลๆ เพราะมันทั้งเหนื่อย แล้วก็ล้าเกินกว่าจะขยับเขยื้อนเคลื่อนกายไปไหนได้ แต่ว่าต่อมความอยากมันผลักดันให้หาที่ไปจนได้แหละ เลยต้องพยายามเลือกที่ที่มันขับรถไปถึงได้ภายในเวลาแค่ 1 - 2 ชม. เท่านั้น.....ที่ไหนหว่า

สถานีรถไฟแม่กลองที่ผ่ากลางตลาด
และเป็นที่มาของชื่อ "ตลาดร่มหุบ"
หวยเลยไปออกที่ อ.อัมพวา จ.สมุทรสงคราม ที่ที่ใครๆ ชอบไปกันนั่นแหละ เพราะว่ามันขับรถไปไม่ไกลเลย แต่ว่าคราวนี้เราจะไม่ได้มุ่งหน้าตรงไปตลาดน้ำอัมพวากันก่อนหรอกนะ เพราะว่าอันที่จริงแล้ว จะไปอัมพวาทั้งที เราก็จะไม่ไปแค่ตลาดน้ำ ที่ชาวบ้าน ชาวช่องเค้าไปกันจนปรุไปหมดแล้วล่ะ แต่เราจะไปเริ่มกันที่ “ตลาดแม่กลอง” หรือ “ตลาดร่มหุบ” กันเป็นที่แรกเลย

ที่นี่น่ะนะ มีของกินเยอะแยะมากมายจาระไนไม่หมดเลยแหละ แต่ว่าส่วนมากร้านเค้าจะเปิดขายกันตั้งแต่เช้าตรู่เลย ดังนั้นพอเริ่มสายๆ ไปจนถึงเที่ยงๆ บางร้านของก็จะเริ่มหมดแล้วล่ะ หรือบางร้านก็ขายดีมาก จนหมดเกลี้ยงไปตั้งแต่ 11 โมงเลยก็มี ดังนั้นถ้าจะให้ดี เราก็ควรจะไปถึงสักตอน 8 โมง – 11 โมง เพราะว่าช่วงเวลานี้ ยังมีของกินอร่อยๆ เหลือให้กินอยู่น่ะสิ

ทางไป “ตลาดแม่กลอง” ถ้าขับรถมาจากกรุงเทพฯ ให้ใช้ทางหลวงหมายเลข 35 ถนนพระราม 2 (ถนนธนบุรี-ปากท่อ เดิม) ขับไปเรื่อยๆ จนถึงหลัก กม.ที่ 63 ชิดซ้าย ใช้ทางคู่ขนานต่างระดับ เพื่อเข้าสู่ตัวเมืองสมุทรสงคราม พอถึงสี่แยกแรก ให้ขับตรงไปจนถึงสี่แยกที่สอง (แยกโรงพยาบาล สมเด็จพระพุทธเลิศหล้า) จากนั้นค่อยเลี้ยวขวา และขับตรงไปอีกสักพักตรงไป ข้ามทางรถไฟ ก็จะถึง “ตลาดแม่กลอง” หรือ “ตลาดรถไฟ” ตลาดซึ่งมีทางรถไฟพาดผ่านตรงกลางที่พ่อค้าแม่ค้าวางกระบุงตระกร้าขายของกันเนี่ยแหละค่ะ มันจึงเป็นที่มาของชื่อ “ตลาดร่มหุบ” เพราะพ่อค้าแม่ค้าต้องคอยหุบร่มกันอยู่เป็นระยะๆ เวลาที่รถไฟผ่านมานั่นเอง (ทำเป็นอธิบายทางคล่องปากไปอย่างนั้นแหละ จริงๆ ตอนไปมีคนขับรถของออฟฟิศเค้าขับพาไปน่ะ ให้ไปเอง ก็คงจะหลงอยู่แถวขอบๆ ของกทม. นี่แหละ)


เริ่มกันที่ร้านแรกเลยมั๊ย !!!!


ก๋วยเตี๋ยวเส้นปลา ร้าน "ชุ้นพาณิช"
“ชุ้นพาณิช” ก๋วยเตี๋ยวเส้นปลาทำเอง ถ้าเข้ามาจากทางหน้าตลาด ร้านจะอยู่ทางขวามือ เลยจากปากทางมาสัก 100 เมตร

ก๋วยเตี๋ยวเส้นปลาของร้าน “ชุ้นพาณิช” เป็นเส้นปลาที่ทำเอง เส้นจะยาว รสชาติของมันให้อารมณ์เหมือนกิน “ฮือก้วย” ลูกชิ้นปลาเส้นที่เค้าใส่ในก๋วยเตี๋ยวหมู หรือก๋วยเตี่ยวลูกชิ้นปลานั่นแหละ เพียงแต่ "เส้นปลา" มันจะยาวกว่า และเส้นเล็กๆ บางๆ เหมือนเส้นบะหมี่นั่นเอง นอกจากจะมีเส้นปลาเหนียวนุ่มแล้ว ยังมีเกี๊ยวปลาที่มากับน้ำซุปหอมๆ โรยกระเทียมเจียวอีกด้วยนะ แล้วถ้าใครติดใจ อยากซื้อเกี๊ ยวปลากลับไปกินต่อที่บ้าน เค้ามีขายต่างหากนะ ราคากิโลกรัมละ 120 บาท (ก๋วยเตี๋ยวเส้นปลา - เกี๊ยวปลาชามละ 25 – 30 บาท)




ขาหมูสุดอร่อยของร้าน "เกาเหลากรุงไทย"
จากนั้นเดินเข้าไปด้านในตลาด เพื่อไปโผล่อีกด้านหนึ่ง แล้วก็เดินข้ามไปฝั่งตรงข้าม เราจะเจอร้าน “เกาเหลากรุงไทย” เกาเหลาเลือดหมูที่สืบทอดจากรุ่นพ่อแม่มาสู่รุ่นลูก และขายกันอย่างยาวนานมากว่า 28 ปี  มันเป็นเกาเหลาเลือดหมูที่มีเครื่องในมาให้เพียบ ทั้งไส้อ่อน ตับ เซี่ยงจี๊ กระเพาะหมู และหมูบะช่อ น้ำซุปหวานๆ เค็มๆ กลมกล่อม กินกับข้าวสวยร้อน แล้วจิ้มไส้อ่อนกับน้ำส้มพริกตำ เอิ๊ก ! อร่อยอย่าบอกใครเลยอ่ะ

อ๊ะ แต่ทีเด็ดของร้าน “เกาเหลากรุงไทย” นี้ ที่เราเลิฟมากๆ หาใช่เกาเหลาเลือดหมูไม่ แต่มันคือ..."ข้าวขาหมู" นั่นเอง ขาหมูร้านนี้อร่อยมากจนถึงกับต้องซื้อกลับมาฝากคนที่บ้านกันเลยทีเดียว

เพราะว่าขาหมูของเค้า รสชาติมันจะออกเค็มนำ หวานตาม กลมกล่อมแบบสูตรโบราณ ไม่ได้มีรสชาติหวานเจี๊ยบ อย่างกับขาหมูแช่อิ่ม แบบที่ร้านข้าวขาหมูสมัยนี้ชอบทำขายกันจัง

และสิ่งสำคัญ ที่เราขอยืนยัน ยืนยัน ว่าขาหมูเนี่ยนะ มันต้องกินกับผัดกาดดองเปรี้ยวเท่านั้นนะคะ ถึงจะอร่อย เพราะผักกาดดองรสชาติเปรี้ยวๆ จะไปตัดรสกับขาหมูที่เค็มนำ หวานตามได้อย่างลงตัวที่สุดแล้ว ไม่ใช่เอาขาหมูมากินกับผักคะน้าที่ต้มในน้ำขาหมูจนเป็นรสเดียวกับขาหมู เลยหาจุดตัดของรสชาติไม่เจอ หรืออย่างเลวร้ายมาก คือเอามากินกับผักกาดดองเหมือนกันค่ะ แต่เป็นผักกาดดองรสชาติออกหวานๆ มันอะไรกันคะเนี่ย.....มันไม่ใช่เนื้อคู่กันเลยนะ ของสองสิ่งนี้น่ะ !!!!

ที่สำคัญอีกอย่าง (สำคัญหลายอย่างจริงนะแก) ผักกาดดองที่ดีนั้น ควรจะหั่นซอยให้มันเล็กๆ พอดีๆ ไม่ใช่ชิ้นใหญ่ยืดยาวแบบที่ชอบหั่นกันจัง....เอาล่ะ สรุปว่าร้าน "เกาเหลากรุงไทย" เป็นร้านที่ประทับใจในความอร่อยจริงๆ  ให้ไปเลย 100 ดาว และร้านนี้นี่แหละ เป็นหนึ่งในร้านต้นเหตุที่ทำให้เราอยากย้ายบ้านไปอยู่แถวนั้น จะได้ไปกินมันบ่อยๆ ให้ไขมันอุดตันเส้นเลือดกันไปข้าง (เกาเหลาเลือดหมูชามละ 20 – 30 บาท, ข้าวขาหมูจานละ 25 บาท, ขาหมูเปล่า 30 – 50 บาท, ยำเครื่องในชามละ 30 – 50 บาท, ก๋วยจั๊บน้ำใสชามละ 30 บาท) ร้านเปิดตั้งแต่ ตี5 ครึ่ง - บ่ายโมง


ข้าวขาหมูไขมันน้อยหน้าธนาคารออมสิน
เออ แต่ถ้าใครชอบกินขาหมูเหมือนกัน แต่ก็แอบกลัวไขมันจะพอกเส้นเลือด กลัวอ้วน กลัวโน่น กลัวนี่ งั้นต้องมาร้านนี้เลย "ร้านข้าวขาหมูออมสิน" อยู่ตรงปากซอยเพชรสมุทร  ตรงข้ามกับธนาคารออมสิน  ร้านนี้ขายดีเป็นหนักหนา เลยต้องเปิดตั้งแต่ตี 5 – 11 โมง ซึ่งพอสัก 10 โมงครึ่ง ก็เหลือขาหมูอยู่นิดๆ หน่อยๆ แล้วล่ะ เกือบไปชิมไม่ทันแน่ะ

แล้วขาหมูร้านนี้ กินแล้วไม่ต้องกลัวอ้วนยังไงเหรอ ก็อาปาเจ้าของร้าน แกมีเคล็ดลับน่ะสิ นั่นคือ อาปาจะเลาะเอาไขมันที่ติดอยู่ตามเนื้อและหนังขาหมูออกจนหมดเลย มันก็จะได้เนื้อเพียวๆ และหนังหมูบางๆ ไม่มีไขมันติดอยู่ให้พารานอย นอย นอย จะยังไงก็ตาม เราว่ายังไงมันก็ยังอ้วนอยู่แหละนะ แต่วิธีนี้อย่างน้อยๆ ก็น่าจะช่วยให้คนกินรู้สึกผิดน้อยลง จริงมั๊ย (ข้าวขาหมูจานละ 25 -30 บาท)


ต่อไปก็......ถึงคิวอีกหนึ่งร้านที่ทำให้เราอยากย้ายสำมะโนครัวมาอยู่สมุทรสงคราม


บะหมี่หมูแดง - เกี๊ยวหมูของร้าน "ก๋องเมงจั้น"
ร้านนั้นคือ ร้านบะหมี่เกี๊ยวหมูแดง และข้าวหมูแดงหมูกรอบเจ้าอร่อย (สุดๆ) “ก๋องเมงจั้น” ร้านดังที่ตั้งอยู่ในโซนถนนเพชรสมุทรเหมือนเดิม ร้านนี้ก็เก่าแก่อีกเช่นกัน เปิดขายมา
กว่า 60 ปี แล้ว เเละสืบทอดกันมานานถึง 3 ชั่วอายุคนแน่ะ

เพราะอย่างนี้นี่เองมั้ง เค้าเลยยังใช้วิธีย่างหมูแดงแบบโบราณอยู่ ไม่ได้เอาไปอบแบบร้านสมัยใหม่ หมูแดงที่ได้ เลยเกรียมนิดๆ ดูมีอะไรๆ มากกว่าแบบที่เอาไปเข้าเตาอบอีกนะ

และทีเด็ด มันอยู่ตรงที่ เค้าเลือกใช้เนื้อหมูติดมันนิดๆ ที่พอเอาไปย่างแล้ว มันหมูที่โดนไฟมันจะเกรียมๆ กรอบๆ แล้วเนื้อหมูก็จะนุ่ม ไม่ใช่หมูแดงแห้งๆ แข็งๆ แบบที่หากินได้ทั่วไปในกรุงเทพฯ....โอ๊ย เริ่ดดดด

ไอ้หมูแดงเนี่ยนะ เราจะสั่งมากินแบบบะหมี่หมูแดง แห้ง - น้ำ ก็อร่อยล้ำอ่ะ หรือจะสั่งมาแบบข้าวหมูแดง- หมูกรอบ ก็ควรนะ ควรจะสั่งเป็นที่สุด เพราะหมูกรอบเค้าก็กรอบ กร๊อบ กรอบ มันไม่เลี่ยน ไม่แฉะ ไม่ชุ่มน้ำมันเลยสักนิด เลิฟอีกแล้ว >____<


เออ เกี๊ยวเค้าก็มีนะ เนื้อนุ่ม หมูเต็มเกี๊ยวดี ไปแอบดูเค้าเขาห่อเกี๊ยวมาด้วย เค้าจะเอาเกี๊ยวที่ห่อสร็จแล้วและยังไม่ได้เอาไปใช้ เก็บไว้ในลิ้นชักก่อน มันจะได้ไม่โดนลมจนแห้งแข็ง

ร้าน “ก๋องเมงจั้น” อร่อยมากๆ จริงๆ นะ ทั้งที่มันเป็นแค่ร้านตึกแถวธรรมดาๆ เนี่ยแหละ (ราคาบะหมี่ – เกี๋ยวชามละ 25 -30 บาท, บะหมี่เกี๋ยวชามละ 30 – 35 บาท, ข้าวหมูแดงจานละ 30 บาท, ข้าวหมูแดง – หมูกรอบจานละ 30 – 35 บาท) ร้านเปิดตั้งแต่ 09.00 - 17.00 น.


เกี๊ยวกุ้งเนื้อแน่นร้าน "อร่อยล้ำเส้น"
อีกเมนูเส้นที่ขอแนะนำว่าต้องไปลองคือ ก๋วยเตี๊ยว – เย็นตาโฟเส้นปลา, เกี๊ยวปลา – เกี๊ยวกุ้ง (ที่ใส่กุ้งเป็นตัวๆ ลงมาให้ด้วย) ที่ร้าน “อร่อยล้ำเส้น” บนเส้นถนนเกษมสุขุม ทุกอย่างชามละ 25 – 30 บาท น้ำซุปเค้าหอมกรุ่น หวานธรรมชาติดี ไม่ใช่หวานผงชูรส ที่สำคัญคือเกี๋ยวปลาอร่อยมาก ไม่คาวเลยแม้แต่น้อย ร้านนี้สะอาด น่านั่ง ดูโมเดิร์นขึ้นมาหน่อย ที่สำคัญกว่าอะไรทั้งสิ้นคือ ลูกชายเจ้าของร้าน น่ารักมาก ถ้าโชคดีไปเจอน้องเค้า ก็ขอให้แอบชำเลืองมองหน่อยนะ (ไปถึงแล้ว จะรู้ได้เองล่ะ ว่าคนไหน เพราะฮีหล่อเด้งสไตล์เกาหลีมากๆ)



ร้านสุดท้ายในตลาดแม่กลองที่เราจะแวะกันคือ “เม้งข้าวหมูแดง” ที่มาแปลกด้วยการเสิร์ฟข้าวหมูแดง ข้าวหน้าเป็ด และข้าวหน้าไก่ย่าง พร้อมๆ กับน้ำจิ้มเต้าเจี้ยวพริกตำแบบเดียวกับที่กินกับข้าวมันไก่อ่ะ มันช่างดูไม่น่าจะเข้ากันได้เลยเนอะ แต่มันก็เข้ากันได้แฮะ แถมยังเอาผักบุ้งลวกที่เอาไว้กินกับข้าวหน้าเป็ด มาแนมให้กินกับข้าวหมูแดงอีกด้วยแน่ะ อะไรจะข้ามสายพันธุ์กันได้ปานนั้น

ข้าวหน้าเป็ดร้าน "เม้งข้าวหมูแดง"
แต่สิ่งที่ยืนยันว่าร้านนี้อร่อยเด็ดจริงๆ ก็คือลูกค้าที่ยืนรอเมนูที่ตัวเองสั่งอยู่ด้านหน้าร้าน รวมทั้งลูกค้าที่นั่งกินอยู่ในร้านก็ไม่เคยพร่องลงเลย อาปาเจ้าของร้านเล่าให้ฟังว่า แกสืบทอดกิจการมาจากเตี่ย ที่พายเรือขายข้าวหมูแดงมากว่า 60 ปี และยังคงไว้ซึ่งเคล็ดวิชาที่เตี่ยถ่ายทอดมา นั่นคือจะใช้เตาถ่านเคี่ยวน้ำจิ้มไปอย่างใจเย็นจนได้น้ำจิ้มรสเด็ดที่ลูกค้าติดใจนั่นแหละ ร้านเปิดตั้งแต่ 06.00 – 15.00 น. (แต่เจ้าของร้านต้องตื่นขึ้นมาเตรียมของตั้งแต่ตี 3 แน่ะ เพื่อมาเคี่ยวน้ำจิ้มมั้งนะ) ทุกอย่างราคา 25 - 30 บาท


แล้วเราก็จะจบทริปของคาวในตลาดแม่กลอง กันด้วยของหวานที่ไม่ค่อยมีให้เห็นกัน “ทองม้วนกะทิสด” ที่ทำขายกันสดๆ เอาเตามาวางทำขนมโชว์กันเลยทีเดียว วิธีการทำดูคล้ายๆ การทำข้าวเกรียบปากหม้อนะ คือเอาแป้งที่ผสมกะทิและข้าวโพด หรืองา มาหยอดลงไปบนแผ่นเหล็กร้อนๆ อังไฟไว้สักพัก แล้วก็แซะออก ทองม้วนที่ได้จะนิ่มๆ ไม่แข็ง แบบทองม้วนที่เราคุ้นเคยกันนะ ราคาก็ไม่แพง ถ้าเดินผ่านไปเห็น ก็ลองซื้อมากินกันดู แต่เราไม่ได้กิน เพราะต้องรีบเดินไปที่อื่นต่อ


เอาล่ะไฮไลท์สำคัญของเรามาถึงแล้ว มันอยู่ที่เส้นทางขากลับกรุงเทพฯ นี่เองล่ะ


เพราะเราจะแวะร้านอาหารทะเลขึ้นชื่อลือชา ใครมาต้องแวะ มันคือร้าน "ชาวเล" นั่นเอง

ท่าน้ำของร้าน "ชาวเล"
ร้าน "ชาวเล" ตั้งอยู่ริมคลอง “ผีหลอก” บรรยากาศชิลล์มาก นั่งๆ ไปจะมีเรือเล่นผ่านให้ดูเล่นด้วยล่ะนะ ซึ่งทางร้านเอง เค้าก็มีเรือ และมีท่าน้ำไว้ให้เอาเรือลงได้ด้วย สนใจก็ลองถามๆ เค้าดู และที่หน้าร้านเค้าจะมีบอกเวลาน้ำขึ้นน้ำลงเอาไว้ด้วย คงเพื่อการเอาเรือลงนี่ล่ะมั้ง ลืมถามเหตุผล

เมนูที่มาแล้วต้องสั่งให้ได้ ย้ำ ต้องสั่งให้ได้ คือ “กุ้งแม่น้ำเผา” เพราะเรารับประกันความสดของกุ้งเลยแหละ ไม่เคยกินกุ้งที่ไหน จะกุ้งแม่น้ำ หรือกุ้งเลี้ยง กุ้งทะเลอะไรก็ตาม ที่พอเอาเข้าปากแล้วเนื้อกุ้งมันจะเด้งดึ๋งๆ ได้ขนาดนี้ แถมมันกุ้งยังเยิ้มเป็นสีส้มๆ แดงๆ เห็นแล้วน้ำลายไหล พอเอามาจิ้มกับน้ำจิ้มซีฟู๊ดรสแซ่บ คลุกกับข้าวสวยร้อนๆ แล้วก็นะ สวรรค์จริงๆ!


ยังมีเมนูที่เป็นเอกลักษณ์ประจำจังหวัดอยู่อีกด้วยนะ นั่นคือ “หอยหลอดผัดฉ่า” หอยหลอดตัวยาวเหนียวหนึบ เอามาผัดกับเครื่องเทศ และเครื่องแกงรสเผ็ดร้อน ใครที่ไม่กินรสจัดคงต้องบอกให้เขาเพลาๆ พริกลงหน่อยนะ เพราะที่นี่กระหน่ำพริกลงไปเยอะใช้ได้เลยทีเดียว

ตามมาด้วย "ปลากะพงทอดกระเทียม" จัดมาติดๆ อย่าให้ขาดช่วง เค้าทอดปลามากรอบถึงใจจริงๆ แถมปลามันยังตัวใหญ่เนื้อหนา กินกับน้ำจิ้มซีฟู๊ดอีกแล้ว แต่ก็ยังเริ่ดนะ

 

กุ้งแม่น้ำเผา

ปลาทูต้มมะดัน





















ต่อไปก็สั่งอะไรมาซดคล่องๆ คอหน่อยดีกว่า ต้องลอง “ปลาทูต้มมะดัน” เมนูโบราณที่เราเคยได้ยินแต่ชื่อนะ ยังไม่มีโอกาสได้กินจริงๆ จังๆ ซะที คราวนี้ได้กินสมใจ น้ำแกงมันเปรี้ยวๆ หวานๆ เค็มๆ  ซดร้อนๆ คล่องคอดี  และด้วยความที่น้ำแกงมันรสไม่จัดมาก ออกไปทางนุ่มๆ นวลๆ ซะมาก ก็เลยซดน้ำกินเปล่าๆ
น้ำพริกปู
ผักสดจิ้มน้ำพริกก็มีนะ “น้ำพริกปู” ที่เค้าเอาเนื้อปูมาตำกับพริก และเครื่องทั้งหลาย จนได้น้ำพริกมาหนึ่งถ้วย แต่น้ำพริกถ้วยนี้รสจัดมาก ขนาดกินแกล้มกับผัดสดนานาชนิดแล้ว ยังไม่สามารถดับความเผ็ดลงได้เลย ทางที่ดีระบุจำนวนพริกไปให้เค้าด้วยเลยนะตอนที่สั่ง

ปิดท้ายกันที่ “ทอดมันปลากราย” อันบะเร่อ เค้านวดเนื้อปลากรายมาได้เหนียวหนึบหนับดีนะ โรยใบกะเพราทอดกรอบมาด้วย เสียดาย เราเป็นคนที่ไม่ชอบกินทอดมันเท่าไหร่ เลยไม่ค่อยจะอะไรมากนักกับจานนี้

แต่ว่าคอนเฟิร์มเลยนะ ว่าถ้าใครมาสมุทรสงคราม สมควรจะแวะมากินอาหารทะเลที่ร้าน “ชาวเล” เพราะว่าของเค้าสดจริงๆ สดกว่าไอ้ร้านดังที่ว่าเริดๆ แถวเพชรบุรีอีกน่ะ (ร้านนั้นตอนที่ไปกิน เอาไข่แดงของไข่เค็มมาใส่กระดองปู ทำเป็นไข่ปูเฉยเลย)




แผนที่ร้าน "ชาวเล"
ส่วนเส้นทางก็ให้ขับรถไปตามทางหลวง 325 มุ่งหน้าไปทาง อ.ดำเนินสะดวก ตรงไปเรื่อยๆ แล้วตรงเข้ไปในาซอยบ้านปรก 40 ไม่ต้องกลัวหลงเพราะจะมีป้ายชื่อร้าน “ชาวเล” และป้ายของ “กนกรัตน์ รีสอร์ต” ที่ตั้งอยู่ตรงข้ามกันกับร้าน ติดให้เห็นโดดเด่นเป็นสง่าอยู่หน้าปากซอยเลยแหละ ถ้างงๆ ทาง ลองถามคนแถวนั้นดู เค้าน่าจะตอบได้ เพราะร้านขึ้นชื่อจริงๆ



เฮ้อ เขียนเสร็จ ก็อยากไปอีกรอบน่ะ คราวนี้จะตั้งอก ตั้งใจกินให้มากกว่าเดิม




อ่านรีวิว ตระเวนกินถิ่นอัมพวา ที่เว็บของเราได้

วันศุกร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2553

Bake a Wish : เค้กญี่ปุ่น อร่อยไร้น้ำตาล ที่ย่านฝั่งธน

ชูครีมกล่องใหญ่ และบริเวณเคาน์เตอร์หน้าร้าน
ปกติร้านเค้กอร่อยๆ มักจะไปกระจุกตัวอยู่แถวๆ ทองหล่อ และสุขุมวิทต้นๆ ช่วงอโศก - พร้อมพงษ์ กันหมด แล้วอย่างนี้คนที่ไม่ได้มีบ้าน หรือที่ทำงานอยู่แถวๆ นั้น ก็เป็นต้องอดกินของอร่อยหรือนั่น


ไม่หรอก จริงๆ แล้วยังมีร้านขนมอร่อยๆ กระจายตัวอยู่ตามละแวกที่คนไม่ค่อยรู้อีกเยอะแยะเลย เช่นแถวๆ บางปะกอก หรือ สุขสวัสดิ์เนี่ยแหละ ที่มีร้านเค้กอร่อยจนต้องฝันถึงอย่าง Bake a Wish แฝงตัวอยู่ นี่ถ้าเพื่อนไม่มาบอกต่อ เราก็ไม่มีวันรู้จักร้านเค้กร้านนี้แน่ๆ เพราะมันอยู่คนละซีกโลกกับบ้านเราเลยน่ะสิ ทั้งๆ ที่เค้าเปิดมานานตั้ง 3 ปีแล้วล่ะนะ


แล้วก็ให้บังเอิญว่าคุณพ่อของคุณเจ้าของร้าน Bake a Wish เป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นของบริษัทที่เราทำงานอยู่ และท่านก็ได้เอาเค้กอร่อยๆ จากที่ร้านมาฝากคนที่ออฟฟิศด้วยในวันประชุมผู้ถือหุ้น เราเลยได้มีโอกาสชิมเค้กที่เพื่อนมันเพ้อถึงจนได้ในที่สุด แล้วก็อร่อยตามที่ได้รับการโฆษณามาจากเพื่อนเราจริงๆ ไม่ผิดหวัง




บราวนี่เค้าก็อร่อย มีรสขมนิดๆ ไม่หวานเลี่ยน
ทีนี้เราเลยได้ฤกษ์ดี แวะไปเยี่ยมเยียน Bake a Wish ถึงถิ่นที่อยู่ของเค้าซะที ในซอยสุขสวัสดิ์ 19 หลังจากที่นัดแนะกับคุณโจ้ เจ้าของร้านสุดเก๋เอาไว้เป็นที่เรียบร้อย ร้านหาไม่ยากอย่างที่คิดแฮะ ตอนแรกนึกว่าจะไปยาก กลับยาก เพราะเราไม่ค่อยคุ้นเคยกับละแวกบางปะกอก - ราษฎร์บูรณะ เลยคิดไปเองว่ามันคงเปลี่ยวๆ น่ากลัวๆ รึเปล่า แต่ก็ เออ ไม่ได้ไกลอย่างที่คิดนี่นา นั่งรถไฟฟ้าไปลงสถานีสุดท้ายของสายสีลม คือ สถานีวงเวียนใหญ่ แล้วต่อแท็กซี่ หรือรถเมล์ก็ได้ตามอัธยาศัย สักพักก็จะเจอทางเข้าซอยเองแหละ เข้าซอยไปก็ไม่ได้ลึกเลย ถ้าเข้าจากทางฝั่ง สุขสวัสดิ์ 19 ก็เดินแค่ 10 - 20 เมตรเอง (ซอยนี้เข้าได้สองทาง และจะเข้าได้ทางราษฎร์บูรณะ 14 ได้อีกทาง ถ้าเข้าจากทางนั้น จะไกลหน่อย แต่ก็ไม่มาก)


เมนูที่อยากแนะนำว่าไปถึงแล้วต้องกินให้ได้ เพราะใครๆ ก็พูดถึงคือ ชูครีม ลูกกลมโต น่ากินสุดๆ กัดเข้าไปคำแรก ก็แทบจะกรี๊ด !!! มันเหมือนแอแคลร์ แต่เนื้อครีมเยอะและหนักกว่า กล่องหนึ่งมีประมาณ 5 - 6 ก้อนได้มั้ง ตอนเค้าให้เอากลับมากินที่บ้าน ก็พยายามบันยะบันยังในการกินสุดๆ เพราะลูกนึง ควรจะกินให้ได้สักสองคำ แต่เราดูเหมือนจะซัดเข้าไปทีเดียวหมดลูกเลย > 3 <


ชูครีมที่คนถามหากันมาก ไส้ตู้มจริงๆ

แล้วก็ คัสตาร์ดเค้ก ที่เนื้อครีมมันนุ่มมากๆ โรยผงโกโก้ไว้ด้านบนอีก น่ากินมาก อันนี้กินแล้วมันจะรู้สึกว่าครีมมันฟูๆ นุ่มๆ อยู่ในปาก รสชาติครีมก็กำลังดี ไม่หวานเลี่ยนเกินไป ที่มันไม่หวานมากเพราะคุณโจ้บอกว่าเค้กที่ร้านไม่ได้ใช้น้ำตาลเลย แต่ใช้ไวท์ ช็อคโกแลตเป็นตัวให้ความหวานกับขนมแทน บวกกับความหวานตามธรรมชาติของนมจากวัวโกเบ ที่สั่งนำเข้าจากญี่ปุ่น เพื่อมาเป็นวัตถุดิบสำคัญของเค้กร้านนี้เข้าไปด้วยอีกหนึ่งปัจจัย


ไวท์ ช็อคโกแลตเค้กที่เรายอมแพ้
แล้วขอบอกว่าที่จริงแล้ว เราไม่ชอบกิน ไวท์ ช็อคโกแลต อย่างสุดๆ เลยนะ แต่ตอนไปที่ร้าน มันต้องลองชิมทั้งหมด และคุณโจ้ก็เอาเค้กใส่ถุงให้เอากลับมาลองชิมเกือบจะครบทุกประเภทเลย เราเลยต้องลองชิม ไวท์ ช็อคโกแลต เค้ก และ โตเกียว ชีสเค้ก ที่พอชิมไปแล้ว ก็เออ อร่อยดีนี่หว่า ไม่หวานเอียน หวานเลี่ยนอย่างที่คิดแฮะ


อีกอันที่ชอบมากๆ คือ เค้กครีมนมสด ที่เนื้อครีมเค้าตีได้ฟู๊ ฟู กินแล้วมัน >____<  (ไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้)


เอาเป็นว่าถ้าใครยังไม่เคยไปกินเค้กที่ Bake a Wish ต้องลองหาโอกาสไปกันดูสักครั้งนะ ลองเข้าไปดูที่บล็อกของคุณเจ้าของร้านกันดูก่อนก็ได้

ที่ http://borvornrut.blogspot.com/ หรือไม่งั้นก็ไปอ่านรีวิวที่บทความของเรา เพราะในนั้นจะมีรายละเอียดเรื่องเส้นทาง และประวัติความเป็นมาของเค้ก และร้านเอาไว้ด้วย และถ้าใครอยากดูรูปขนมให้ชัดๆ ล่ะก็ คลิกที่ชื่อขนมได้เลย เพราะเราทำลิงค์เอาไว้ ให้ไปที่อัลบั้มรีวิวอาหารใน Facebook ของเรานะ

8/11/10 : อัพเดตล่าสุด : ราวๆ สิ้นเดือนนี้ Bake a Wish จะมีให้ชิม และมีให้ซื้อหากันง่ายขึ้น ไม่ต้องถ่อสังขารไปถึงฝั่งธนกันอีกแล้ว เพราะเค้าจะมาเปิดร้านที่ CTW ชั้น 7 จ้า


โตเกียวชีสเค้ก

คัสตาร์ดเค้ก
 
ทางไป Bake a Wish


ที่มาของความอร่อย

ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่า การทำบล็อกนี้ขึ้นมานั้น มันเริ่มมาจากการไปทำงาน ถ่ายและเขียนรีวิวร้านอาหาร ร้านกาแฟ และร้านขนมอร่อยๆ ลงในเว็บไซต์ที่ทำงานอยู่ แล้วจากนั้นก็เอาภาพที่ถ่ายมาอย่างเยอะ แบ่งมาลงในเฟซบุ๊คของตัวเอง ที่ตอนนี้มันชักจะแน่นๆ เกินไปหน่อยแล้ว แถมยังลงรายละเอียดอะไรไม่ได้มากด้วยอีกต่างหาก

ก็เลยตัดสินใจทำบล็อกของกินล้วนๆ ขึ้นมาอีกบล็อกดีกว่า เพื่อที่หลังจากไปถ่ายรีวิวร้านต่างๆ มาแล้ว จะได้เอามาเขียนเล่าให้เพื่อนๆ ได้อ่านกันด้วย ซึ่งจะเป็นการเขียนคนละฟีล กันที่เขียนลงในเว็บไซต์ที่เราทำงานอยู่นะ เพราะที่นี้คือการคุยกับเพื่อน ไม่ใช่ user ของเว็บ ที่ต้องมีระยะห่างนิดนึง ต้องสุภาพนิดนึง

(Update: 27/12/2012) ตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไป ทุกรีวิวที่ทำ จะมาจากการไปกินเองจริงๆ แล้วนะคะ เพราะเว็บที่ทำงานอยู่ได้มีการเปลี่ยนนโยบายด้านเนื้อหา และเราไม่ได้ออกไปทำรีวิวอาหารแล้ว แต่ก็ยังรักที่จะไปสืบเสาะหาของอร่อย และถ่ายรูปอาหารให้สวยๆ เหมือนเดิม ดังนั้นบล็อกนี้ ที่มีจุดเริ่มต้นมาจากการทำงาน ก็จะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับการทำงานอีกต่อไปแล้วนะคะ ฉะนั้นบาง entry ที่ไปมา รูปอาจจะไม่สวยเหมือน entry แรกๆ เท่าไหร่นะ เพราะว่าเมื่อไปกินเอง บางทีอาจจะใช้กล้องไอโฟนถ่าย ซึ่งคุณภาพไม่ดีเท่า DSLR อยู่แล้วค่ะ

และเร็วๆ นี้จะมีไปจอยกับเว็บๆ นึงในเรื่องรีวิวของอร่อยๆ ด้วย ไว้เริ่มทำเมื่อไหร่แล้วจะมาบอกอีกทีนะคะ

ฝากบล็อกอันนี้ไว้ด้วยนะเพื่อนๆ ใครที่แวะมาแล้ว ก็ช่วยเมนท์ๆ เป็นกำลังใจให้กันด้วยนะ