วันจันทร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2554

Audrey Café & Bistro

ซูเฟลปู ซอสบรั่นดี


น้ำท่วมทีเดียว เล่นเอาได้หยุดงานยาวเป็นเดือนเลย เพราะออฟฟิศอยู่ในพื้นที่เสี่ยง (แต่เอาเข้าจริง มันก็ไม่ท่วมอ่ะ เพราะน้ำเฉียดไปทางโน้นที ทางนี้ที โชคดีไป) และบ้านพนักงานเกือบ 70 % ของออฟฟิศอยู่ฝั่งธน และละแวกดอนเมือง ปทุมธานี เจ้านายใหญ่ผู้ใจดีเลยประกาศหยุด โดยให้ทำงานกันที่บ้าน ไม่จำเป็นก็ไม่ต้องเข้ามา แต่เราก็มัวไปทำเรื่องน้ำท่วมซะจนต้องดองงานรีวิวที่ไปทำมา 2 ร้านก่อนน้ำจะท่วมเลยน่ะ เพิ่งได้มีเวลามานั่งทำรูป และเขียนบล็อกนี่แหละ หายไปนานเลยเนอะคราวนี้



บรรยากาศบนชั้นสองของร้าน

ตอนนั้นก็ใกล้คริสต์มาส ปีใหม่แล้วนะ บางคนก็มองหาที่ฉลองกันแล้วใช่มั้ย entry นี้ เลยอยากจะแนะนำร้าน Audrey  Café  & Bistro ทองหล่อซอย 11 ที่เหมาะมากๆ กับการนัดเพื่อนๆ ไปกินเลี้ยงนะคะ เพราะว่าร้านนี้มีห้องหับที่เป็นส่วนตัวให้จองหลายห้องเลย และสไตล์ของแต่ละห้องก็ไม่ซ้ำกันด้วย ที่แน่ๆ คืออาหารมันอร่อยมากนะ ตอนที่เราติดต่อไปนี่ มีคนไปรีวิวกันมาแล้วหลายเจ้านะ เพราะว่าเจ้าของร้านคือคุณแบม จณิสตา คนเลยให้ความสนใจร้านกันมาก แต่อาหารเค้าอร่อยจริงๆ เราชอบที่เค้าครีเอตเมนูแปลกๆ มาให้ลูกค้าอ่ะ แล้วไม่หวงเครื่องด้วย




เนื้อปูอัดแน่นจริงๆ นะ ตักไปตรงไหนก็เจอ
 อย่างจานที่เราชอบมาก คือ “เนื้อปูซูเฟล เสิร์ฟกับซอสบรั่นดี” (ราคา 320 บาท) เพราะมันมาอย่างอลังการมาก ซูเฟลที่ยัยอลินกับครูกุ๊ก ในสูตรเสน่ห์หามันตีๆ กันให้ฟูๆ แล้วมันก็ฟูย๊าก ยากนั่นแหละ แต่ร้าน Audrey  Café  & Bistro ตีซะฟูฟ่องเป็นลูกโป่งเลย แล้วพอเอาช้อนตักลงไปข้างใต้ ก็จะเจอกองเนื้อปูอัดแน่นอยู่ในนั้น ตักขึ้นมาแล้วราดน้ำซอสกุ้งล็อบสเตอร์บรั่นดีที่ก็ยังใส่เนื้อปูลงไปอีก มันให้รสชาติเข้มข้นมากๆ อร่อยจริงๆ กินแค่อันนี้ เราว่ามันก้น่าจะอิ้มแล้วล่ะ ถ้าไปคนเดียว



ส่วนจานที่สองอันนี้ก็ชอบนะ หน้าตาและชื่อของอาหารดูไม่น่าประหลาดใจอะไรมาก เพราะมันต่างเป็นของที่เราคุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว แต่ก็ไม่เคยคิดว่ามันจะเอามาเข้าคู่กันได้ด้วยแฮะ มันคือ “ก๋วยเตี๋ยวหลอดสอดไส้หมูปิ้ง” (ราคา 130 บาท) เนื้อหมูปิ้งจะนุ่มๆ ติดมันนิดๆ ปิ้งมากำลังดี แล้วหั่นพอดีคำ ห่อด้วยก๋วยเตี๋ยวหลอด ราดน้ำซอสหมูปิ้ง โรยกระเทียวเจียว แล้วกินคู่กับน้ำจิ้มแจ่ว และบรรดาผักๆ เช่น โหระพา และแครอต ถ้าไปกินกับเพื่อนเยอะๆ จานนี้ต้องเบิ้ลสองนะ


ก๋วยเตี๋ยวหลอดสอดไส้หมูปิ้ง


Audrey on My Mind
 ส่วนเครื่องดื่มที่น่าลอง คือ "Audrey on My Mind" (ราคา 95 บาท) ม็อคเทลสีเขียวอมฟ้า รสชาติก็เปรี้ยวๆ หวานๆ เหมือนอยู่ทะเลคาริบเบี้ยน หรือฮาวาย  ให้บรรยากาศเหมือนอยู่ชายทะเลจริงๆ  มันอร่อยเข้มข้น เพราะว่าใส่ผลไม้นานาชนิดเลย มีทั้งพีช เสาวรส และมะนาว เพิ่มรสชาติความวานด้วยพีช ไซรัป และเติมสีสันให้สวยด้วย เกรนาดีน



ปิดท้ายของคาว ด้วยของหวานหอมๆ อย่าง "Banana Samosa Suzette"  (ราคา  140 บาท) มันแป้งเม็กซิกันแผ่นบางๆ  ที่ทอดจนกรอบ และมีกล้วยหอมฉ่ำๆ อยู่ข้างใน ราดตามด้วยซอสส้มเปรี้ยวๆ หวานๆ หอมกลิ่นส้มเข้าไปอีก เค้าจะเสิร์ฟมาให้กินคู่กับไอศกรีมแมคคาเดเมีย ที่ต้องรีบกินหน่อยนะ เพราะว่าซาโมซ่ามันร้อน เลยจะไปทำให้ไอศกรีมละลายเร็วกว่าปกติ




Babana Samosa Suzette

Audrey  Café  & Bistro เดินเข้ามาในซอยทองหล่อ 11 เพียงแค่ 20 เมตรเท่านั้น ก็จะเจอร้านอยู่ทางซ้ายมือ หาไม่ยากเลย



ร้านเปิดทุกวัน ตั้งแต่เวลา 11.00 – 22.00 น. จอดรถได้ที่บริเวณหน้าร้าน และในร้านจอดรถ Blue Velvet ค่ะ โทรไปจองโต๊ะ จองห้องกันก่อนได้ที่ 02-712-6667-8











ห้องนี้ก็ต้องโทรจอง เป็นห้องโต๊ะยาว





บรรยากาศชั้นล่าง

ห้องนี้ต้องโทรจองกันก่อน


วันจันทร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ปากน้ำซีฟู๊ด.....ภูเก็ตทริปรำลึก

แถวบ้านใครน้ำท่วมกันมั่งรึเปล่าคะ แถวบ้านแพร์น้ำปริ่มๆ จะท่วมมิท่วมแหล่ ส่วนที่ออฟฟิศ น้ำยังไม่ท่วม แต่วันนี้เค้าก็ระดมกำลังกันขนของจากชั้นล่างขึ้นสู่ที่สูงกันหมดแล้ว เตรียมการไว้ก่อน....แต่...ก็ใช่จะรอดพ้นจากชะตากรรมน้ำท่วมนะ...เพราะที่สวนที่ต่างจังหวัด ที่พ่อแม่ซื้อไว้อยู่ตอนเกษียณ บัดนี้ได้ท่วมไปแล้วครึ่งหน้าแข้งแล้วค่ะ ดีว่าขนของหนีน้ำทัน ข้าวของและคนก็เลยไม่เป็นอะไร รถก็ย้ายไปจอดยังที่ปลอดภัยแล้ว ที่น่าเป็นห่วงคือต้นไม้ที่แม่กะพ่อปลูกไว้ คงตายเรียบค่ะ


เอนทรีนี้เลยกะจะพาหนีน้ำ ไปหาของอร่อยกินแถวๆ ภาคใต้กันชั่วคราว....เราจะพาไปดูของกินที่ภูเก็ตกัน จริงๆ ทริปนี้ไปมาได้สัก 2 – 3 เดือนแล้วล่ะ แต่ว่าไม่มีเวลาเอามาเขียนถึงซะที เนื่องจากข้อมูลไม่ครบถ้วนด้วย เพราะไปแบบไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไรเลย พี่ๆ ที่ไปด้วย เค้าเป็นคนพาไป ถนนหนทางก็จำไม่ได้ ราคาอาหารแต่ละจานก็ไม่ได้จดมา (แหะๆ เพราะไม่ได้จ่ายเองน่ะ เจ้าถิ่นเค้าเลี้ยง) แต่เนื่องจากร้านนี้นี่มันอร่อยจริงๆ นะ ที่สำคัญสั่งกันมาเยอะพอสมควร แต่พอคิดราคาแล้ว โอววววว ทำไมมันถูกเยี่ยงนี้ ถูกมากอย่างไม่น่าเชื่อ แค่พันต้นๆ เท่านั้น (อันนี้รวมทั้งเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ต่างๆ แล้วด้วยนะ)


ร้านนี้มันมีชื่อว่า “ปากน้ำซีฟู๊ด” เราจำได้แค่ว่าร้านนี้อยู่ที่ “บ้านกู๊กู” นะ ไล่ถามชาวบ้านเค้าไปทั่ว ได้ความมาว่าอย่างนี้ แต่ไปยังก็ไม่ทราบได้ ภูเก็ตนี่ไม่คุ้นเคยเลย รบกวนทุกท่านไปเสิร์ชหาแผนที่กันเอาเองเน้อ (เค้ามีชื่อพอสมควรเลย คิดว่าหลายคนอาจจะเคยได้ยิน และหลายๆ คนอาจจะเคยไปกินมาก่อนเราแล้วด้วยซ้ำ เอาเป็นว่าเอนทรีนี้ ขอแนะนำให้กับคนที่ยังไม่เคยไป และมีแพลนจะไปเที่ยวภูเก็ต ได้ลองไปชิมกันดูละกันนะ)


เริ่มที่เมนูอร่อยๆ ที่เราสั่งมากินคราวนี้กันเลยดีกว่า


สะตอผัดกะปิกุ้ง
จานแรก เราสั่งเอง เพราะชอบกินมากๆๆๆๆ มันคือ “สะตอผัดกะปิกุ้ง” กุ้งนี่เด้งดึ๋งๆ เลย หอมสะตอ หอมกะปิมาก น้ำขลุกขลิกๆ อร่อยเป็นที่สุด จากการสำรวจกะปิที่ผัดมาในจาน เรารู้สึกว่ามันเหมือนเค้าเอาไปทำให้มัน
เป็นน้ำพริกกะปิก่อนเลยอ่ะ คงผสมกะปิกะพริกตำเอาไว้ก่อน แล้วถึงค่อยเอามาผัด แต่มันแอบมีรสชาติเปรี้ยวนิดๆ ติดปลายลิ้นมาด้วย เลยไม่แน่ใจว่า เค้าเอาน้ำพริกกะปิมาผัดรึเปล่าเนี่ย แต่ยังไงก็เหอะ มันอร่อยมากก็แล้วกันนะ


จานที่สอง จานนี้ก็ประทับใจมาก เพิ่งเคยได้กินสิ่งที่เรียกว่า “ใบเหลียง” นี่แหละ พี่เค้าสั่ง“ใบเหลียงผัดไข่”มาให้ลองกินดู มันอร่อยดีจังเลย คิดว่ามันเป็นเพราะที่ร้านเค้าปรุงดีด้วย ใช้ซอสถั่วเหลืองเป็นตัวชูรส และน่าจะตัดรสด้วยน้ำตาลเล็กน้อยนะ เพราะรสไม่ได้เค็มจนแหลม....จานนี้กับสะตอนี่ทำให้เราต้องเติมข้าวสองจานเลยน่ะ


อีกจาน อันนี้สั่งเองอีกเหมือนกัน “ปูนิ่มทอดกระเทียม” จานนี้เฉยๆ ไปหน่อย อาจเพราะมันก็แค่ทอดกระเทียม และเราเคยกินปูนิ่มแบบอื่นๆ มาเยอะแล้ว มันเลยไม่ได้มีอะไรพิเศษมาก แต่ที่ชอบคือ เค้าให้มาเยอะดี ถ้าเป็นที่กทม. ราคาเท่านี้คงได้แค่ 1 ตัวเท่านั้นล่ะมั้ง (จริงๆ ก็จำราคาไม่ได้หรอก แต่จำได้ว่าแต่ละจานนั้นไม่เกิน 100 – 200 เลย เผลอๆ เจ้าปูนิ่มนี่น่าจะแค่ 150 บาทเท่านั้นเองมั้ง เพราะเราไม่กล้าสั่งอะไรแพงมากหรอก ไม่ได้จ่ายเอง)

น้ำพริกกุ้งสด

"น้ำพริกกุ้งสด" ก็อร่อยดี เผ็ดๆ เปรี้ยวๆ ใส่กุ้งมาให้เยอะดี แต่จานนี้ไม่ใช่เป้าหมายหลักของเรา เลยตักมากินน้อยหน่อย


เมนูอื่นๆ ก็มี “ต้มยำกุ้งน้ำข้น” รสชาติเข้มข้นดีมาก (ว้า รูปที่ถ่ายมา ลืมควานกุ้งขึ้นมาให้ดู) และ “ยำวุ้นเส้นทะเล” ที่ปลาหมึกชิ้นใหญ่เด้งดึ๋งดั๋งพอๆ กับกุ้งในผัดสะตอเลย ส่วนรสชาติก็หรอยจังฮู้ !! (เอ่อ พยายามมาก)


จริงๆ มันยังมีแกงอะไรอีกสักอย่าง น่าจะเป็นแกงส้ม ซึ่งได้เห็นและได้รู้มาจากเพื่อนที่เป็นคนใต้บางคนว่า คนใต้เค้าจะใส่ขมิ้นลงไปด้วย มิน่าแกงส้มหม้อนี้มันเลยดูเหลืองๆ จนตอนแรกเรานึกว่ามันคือแกงเหลืองซะอีก...แต่อันนี้ลืมถ่ายรูปมา


อ่ะ จบกับของคาวแล้ว ก็มาต่อที่ของหวานกันดีกว่า อันนี้ก็ภูมิใจนำเสนอมากๆๆๆๆๆ เพราะว่ามันคือ “ไอติม”


(ซ้าย) วานิลลา (ขวา) กระท้อน

บ๊ะ !!! แล้วมันจะน่าตื่นเต้นอะไรนักหนารึ ก็แค่ไอติม...ไม่รู้สินะของงี้มันต้องลองเองนะ พี่ที่ชวนไปเค้าสั่งรสกระท้อน ส่วนเราสั่งรสวานิลลา ตอนแรกก็สั่งมางั้นๆ กะว่าแค่จะเอามาล้างปากจากอาหารใต้รสจัดกลิ่นแรงซะหน่อย แต่ปรากฏว่ามันอร่อยม้ากกกกก มันชื่อยี่ห้อ "Bonito" นะ เป็นไอติม
โฮมเมด ตอนแรกก็นึกว่ามันผลิตที่ใต้ พลิกถ้วยไปมา เจอคำว่า “ผลิดที่กทม.”
โอวววว-*-


นี่ชั้นถ่อมาเจอไอติมอร่อยจากกทม. ที่ภูเก็ตรึนี่ แล้วทำไมอยู่กทม. เราไม่เจออีไอติมยี่ห้อนี้หว่า รึว่าเค้ามีขาย แต่ชั้นดันไม่รู้เอง นี่ก็กำลังว่าจะไปสิร์ชดูอยู่ว่าเค้ามีไปวางขายที่ไหนในกรุงเทพอีกรึเปล่า ถ้าใครรู้จักไอติมยี่ห้อนี้ และรู้ว่ามันมีขายที่ไหนในกรุงเทพ รบกวนช่วยบอกทีน้า


จบละทริปนี้ จริงๆ ยังมีอาหารอร่อยๆ ที่กินที่โรงแรมที่ไปพักอีกด้วยนะ แต่กินมาน้อยไปหน่อย เลยไม่เอามาลงดีกว่า


อ๊ะ !!! และมีเรื่องจะแจ้งให้ทราบนิดนึง สำหรับคนที่ติดตามอ่านบล็อกเราเป็นประจำ (ดูจาก stat ก็พอจะรู้ละนะ ว่ามีเจ้าประจำอยู่บ้าง ขอบคุณหลายๆ) ตั้งแต่เดือน ธ.ค. นี้ อาจจะไม่ได้เห็นภาพอาหารจากการทำงานของเราแล้วแหละ เพราะว่ามีการเปลี่ยนแปลงเรื่องนโยบายเนื้อหาของเว็บนิดหน่อย แต่...ไม่ต้องห่วง เพราะเราจะยังไม่หยุดกิน ตราบใดที่โลกนี้ยังหมุนๆๆๆ....


ดังนั้น หลังจากเดือน ธ.ค. เป็นต้นไป แต่ละเอนทรีในบล็อกนี้ จะเป็นภาพและเนื้อหาที่เราไปกินของเราเองล้วนๆ ละ ไม่ใช่เลือกร้านมา แล้วไปทำงานอีกต่อไป ดังนั้นบางทีภาพก็อาจจะไม่สวยมากนักนะ เพราะคงไม่ได้แบกกล้องใหญ่ไปด้วยทุกครั้ง....แต่จะพยายามบรรยายเรียกน้ำย่อยทุกท่านให้ออกมาให้มากที่สุดเหมือนเดิม



เจอกันเอนทรีหน้าน้า


ใบเหลียงผัดไข่

ปูนิ่มทอดกระเทียม


ยำวุ้นเส้นทะเล

ต้มยำกุ้งน้ำข้น


วันอาทิตย์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2554

เตี๋ยวหน้าคลัง ไก่ทอด บอน ชอน และ Roast Coffee & Eatery ที่ Seen Space ทองหล่อ

เมื่อวานไปเที่ยวตึก Seen Space ในทองหล่อ 13 มา เพราะอยากจะไปลองชิมก๋วยเตี๋ยวที่ร้าน “เตี๋ยวหน้าคลัง” ที่มันเป็นสาขาใหม่ของร้านก๋วยเตี๋ยวเก่าแก่หน้ากระทรวงการคลัง แถวๆ ถนนพระราม 6 เห็นเค้าว่าอร่อยนักอร่อยหนา


ก๋วยเตี๋ยวหมูรวม

แล้วก็อยากจะไปลองไก่บอนชอนดูด้วยอีกเหมือนกัน ที่อ่านๆ มาเห็นเค้าบอกว่า มันเป็นไก่ที่หมักเครื่องเทศมากมายหลายชนิดของเกาหลี เป็นอาหารเกาหลีที่เรายังไม่ได้ยินชื่อมาก่อนเลย
จึงต้องไปลองสักหน่อยนะ เพื่อนที่ไปด้วยยิ่งเป็นเกาหลีฟีเวอร์นิดๆ อยู่ด้วยนะ

เราไปถึงก็เริ่มที่ก๋วยเตี๋ยวกันก่อน  ร้าน “เตี๋ยวหน้าคลัง” อยู่ชั้นบนสุดของตึกเลยนะ เดินขึ้นบันไดที่อยู่ตรงกลางตึก แล้วหันหน้าเข้าหาด้านในของตึก ก็จะมองเห็นร้านได้ชัดเจนมาก  ร้านอยู่ตรงข้ามกับร้าน "Wine Me Up" ที่อยู่กันคนละฟากของตึก เข้าไปในร้านแล้วรู้สึกว่าร้านน่านั่งดีนะ เพราะว่าผนังด้านหนึ่งของร้าน กรุกระจกใสสูงขึ้นไปจนถึงเพดานเลย มองเห็นวิวข้างล่างได้เต็มที่ เราเลยเลือกนั่งที่โต๊ะด้านที่มันติดกับกระจกใสนั่นแหละ นั่งแล้วไม่อึดอัดดีแฮะ ชอบการจัดร้านแบบนี้





ก๋วยเตี๋ยวหมูไทย
 
ว่าแล้วเรากับเพื่อนก็สั่งก๋วยเตี๋ยวมากินกันคนละชาม เราสั่ง “ก๋วยเตี๋ยวหมูรวม” (ราคา99 บาท) ถามพนักงานว่า มันรวมหมูอะไรไว้บ้าง เค้าก็บอกว่า มันมีหมูดำคุโรบุตะ หมูไทย และกระดูกหมูอ่อน (แต่เราว่าพอมันรวมกันมาในชามแล้ว เราก็แยกออกแค่ว่า อันไหนคือกระดูกหมูเท่านั้นแหละ) ส่วนเพื่อนสั่ง “ก๋วยเตี๋ยวหมูไทย” (ราคา 59 บาท)  และที่สะใจมากคือ มีกากหมูให้สั่งแยกต่างหากด้วย 20 บาท....ก็ต้องสั่งน่ะสิ ก็เราชอบกินกากหมูนี่นา



น้ำพีชโซดา อร่อยใช้ได้เลย
กากหมูของโปรด



พอก๋วยเตี๋ยวถูกยกมา ก็เริ่มโซ้ยกันล่ะ เราสั่งบะหมี่หมูน้ำตก ก็เลยได้ก๋วยเตี๋ยวน้ำข้นๆ มา ส่วนเพื่อนสั่งน้ำใส ก็ได้น้ำซุปมา ไม่ใสมาก สีดูน่ากินไม่แพ้แบบน้ำตก จากที่ได้ลองชิม รู้สึกว่าน้ำซุปมันเข้มข้นดีนะ แต่รสเค็มไปนิดนึง พอดีว่าเพิ่งไปกินก๋วยเตี๋ยวหมูดำคุโรบุตะที่ร้าน “ซู้ด นู้ดเดิ้ล” ชั้น 7 เซ็นทรัลเวิลด์มา (ฝั่งเดียวกับร้านโมโม พาราไดส์) รู้สึกว่าชอบน้ำซุปที่ร้านนั้นมากกว่า เพราะว่ากลมกล่อมกว่า มีเค็มมีหวาน และรสไม่เข้มเกินไป














สรุปว่าน้ำซุปเค็มไปหน่อย เราเลยไม่ซดกินโฮกๆ เหมือนอย่างที่ชอบทำ เวลาเจอน้ำซุปก๋วยเตี๋ยวอร่อยๆ  แต่ว่าเส้นบะหมี่กะหมูทั้งหลายก็โอเคนะ ในเรื่องความเหนียวนุ่ม แต่เรื่องขนาด ก็รู้สึกว่าจะเล็กไปหน่อย ไม่ค่อยคุ้มกับราคา 99 บาทสักเท่าไหร่.....สรุปว่า ก็ไม่ได้ประทับใจอะไรมากมายนะ ก็ไม่รู้ว่าร้านต้นตำรับที่หน้ากระทรวงการคลัง มันอาจจะอร่อยกว่านี้รึเปล่า แต่ก็ตั้งใจว่าเดี๋ยวจะกลับไปกินก๋วยเตี๋ยวเนื้อแกะ และเมนูอื่นๆ ของเค้าอีกในคราวหน้า เพราะคราวนี้จะต้องเหลือท้องไว้ไปกินไก่ทอด บอน ชอนด้วยนะ

                                                -----------------------

พอเสร็จจากก๋วยเตี๋ยว เราก็มูฟมาที่ร้าน "Bon Chon Chicken" หรือ ไก่ทอด บอน ชอน หรือ บอนชอน ชิคเก้น ที่อยู่ชั้น 2 ของตึก ถ้ามองลงมาจาก “เตี๋ยวหน้าคลัง” ก็จะเห็นนะ มันอยู่ตรงบันไดทางขึ้นมาชั้น 3 พอดี ร้านสว่างกว่าที่เราเห็นจากในนิตยสารเยอะเลยอ่ะ โต๊ะเก้าอี้ก็น่านั่งพอสมควร เพราะที่นี่ดูเหมือนเค้าจะเน้นกรุกระจกใสให้ลูกค้ามองออกไปชมวิวทิวทัศน์ในมุมกว้างได้ เพราะร้านนี้ก็มีผนังกระจก 2 ด้านแน่ะ ร้านเลยสว่าง และชมวิวได้ดีเลย




ว่าแล้วก็มาสั่งไก่กันดีกว่า เค้ามีให้เลือกทั้งปีกบน น่อง และไก่ไร้กระดูก หรือจะสั่งทุกอย่างรวมกันก็ได้ ขนาดในการสั่งก็มีตั้งแต่ 3 ชิ้น 6 ชิ้น 9 ชิ้น 10 ชิ้น และ 18 ชิ้น ตามประเภทของไก่ที่สั่ง แล้วต่อมาก็เลือกซอสนะ มันมีซอสการ์ลิค ซอสฮอท แล้วก็ซอสมิกซ์ แต่เราจะสั่งอีซอสมิกซ์นี้ได้ เราต้องสั่งขนาดกลางและใหญ่เท่านั้นนะ เรากับเพื่อนสั่งไก่ไร้กระดูกมากินกัน 6 ชิ้น (ไซส์ S ราคา 150 บาท) และเลือกซอสฮอท แล้วเค้าก็บอกให้เราเลือกเครื่องเคียงที่มาพร้อมกันเป็นเซ็ตได้หนึ่งอย่าง เราเลยเลือกโคลสลอว์มากินกัน ส่วนเครื่องเคียงที่เหลือที่ไม่ได้สั่งก็มี กิมจิโคลสลอว์ (ฟังดูไม่น่าจะน่ากินเลยอ่ะ ทั้งที่ปกติก็ชอบกินกิมจิอยู่นะ) ข้าว และข้าวเหนียว 

ไก่ทอด บอน ชอน

บอน ชอน ฟรายส์

และเราก็สั่งของกินเล่นเพิ่มกันอีกอย่าง คือ “บอนชอนฟรายส์” (ราคา 100 บาท) เฟรนช์ฟรายทอดโรยหน้าด้วยพริกไทย เครื่องเทศ (ที่เราคิดว่าน่าจะเป็นโรสแมรี่ป่น) แล้วก็
พาร์มิซานชีส



เอาล่ะที่นี้มาดูกันสิว่ารสชาติมันเป็นยังไงบ้าง....แต่น แต๊น แต๊น....เรากับเพื่อนพบว่าไก่ทอด บอน ชอน นั้นโคตรเหนียวเลยนะ มีอุปสรรคในการกินมาก เพราะว่ามันเป็นเนื้อไก่ที่ทอดจนบางกรอบ แล้วเอาไปคลุกกับน้ำซอสเหนียวๆ ที่มีกลิ่นคล้ายกิมจิ แต่รสชาติจะออกหวานๆ และเหมือนซอสพริกนะ แต่ไม่ยักกะฮอทอย่างชื่อของซอสที่สั่งไปเลยแฮะ เรื่องความเหนียวนี่ ไม่รู้เหมือนกันนะว่าถ้าสั่งแบบปีกบน หรือน่อง มันจะเหนียวน้อยกว่ามั้ย เพราะว่าเนื้อน่าจะเยอะกว่า อารมณ์น่าจะเหมือนกินวิงซ์แซ่บของ KFC อะไรประมาณนั้นรึเปล่า


เออ...แต่ที่งงมากคือ เราสั่งไก่ไป 6 ชิ้น เราก็กินของเราไปจนครบ 3 ชิ้นแล้ว ก็เห็นไก่มันเหลืออีกชิ้นนึง ยังคิดอยู่ว่าทำไมเพื่อนไม่กินให้หมด พอถามเพื่อน เพื่อนก็บอกว่า เค้ากินหมดไป 3 ชิ้นแล้วนะ... อ้าว !!! แล้วงั้น ไอ้ 1 ชิ้นที่อยู่ในจานนี่มันเกินมาเหรอ หรือเค้าแถมให้...ไม่ได้ถามพนักงานอ่ะ ก็เลยแบ่งกันกินคนละครึ่งไปแบบงงๆ


หัวไชเท้าดอง
 
เอาล่ะไก่เหนียวไปหน่อย กินยาก แต่ว่าเรากับเพื่อนดันไปปลื้ม “หัวไชเท้าดอง” ซึ่งเป็นเครื่องเคียงที่เค้าแถมมาให้อยู่แล้วในจาน (ซึ่งถ้าจะสั่งเพิ่มมาอีก ก็มีชาร์ตเพิ่มนะจ๊ะ) มันเป็นหัวไชเท้าดองชิ้นลูกเต๋าเล็กๆ ที่ไม่เหม็น  ไม่ฉุนเลย รสชาติหวานๆ เปรี้ยวนิดๆ ซ่าหน่อยๆ ดองได้กลมกล่อมมาก คาดว่าน่าจะดองไม่นาน กลิ่นเลยไม่แรง ซึ่งเหมือนมันออกแบบรสชาติมาแล้วว่าต้องกินคู่กับไก่ทอด ตักไก่เข้าปากคำนึง แล้วตามด้วยหัวไชเท้าดองเลย รสชาติทั้งของไก่และของหัวไชเท้าดอง จะอร่อยลงตัวมาก เหมือนว่ามันเสริมรสซึ่งกันและกัน....สรุป “หัวไชเท้า
ดอง” ชนะเลิศนะงานนี้


บ๊วยโซดาซาบซ่ามาก








ส่วนโคลสลอว์ก็เฉยๆ ไม่ได้มีอะไรโดดเด่น แต่พอมาถึง “บอนชอน ฟรายส์” ก็ให้ประทับใจอีกครั้ง เพราะว่าชอบรสเผ็ดร้อนของพริกไทยที่เค้าโรยมาด้านบน และรสชาติเค็มๆ มันๆ ของพาร์มิซานชีสป่นๆ ที่โรยมาด้วยด้วย จะกินเฟรนช์ฟรายเปล่าๆ หรือจะเอาไปจิ้มกับซอสที่เหมือนน้ำสลัดเทาน์ซันไอร์แลนด์ เค็มๆ เปรี้ยวๆ ก็เข้ากันดี และยิ่งเพิ่มความอร่อยด้วย









สรุปว่า ชอบ “หัวไชเท้าดอง” กับ “บอนชอนฟรายส์” นะ ส่วนไก่ทอดนั้น เฉยๆ อ่ะ ไม่ได้อยากมากินซ้ำอีกแต่อย่างใด


                                                ---------------------------

หนักกันมา 2 ร้านแล้ว เรากับเพื่อนก็อยากจะหาร้านนั่งสบายๆ สั่งโกโก้มากินกันดูมั่ง เหลือบไปเห็นร้าน "Roast Coffee & Eatery" เลยลองเข้าไปกันดู เพื่อนอิ่มมากกกก เลยไม่สั่งอะไร ส่วนเราก็สั่งโกโก้เย็นตามระเบียบ ได้โกโก้เย็นแก้วกลางๆ ที่ไม่สมราคาเท่าไหร่มาหนึ่งแก้ว  (112 บาท) รสชาติก็เฉยๆ อีกละ แต่ที่รู้สึกตะหงิดๆ กับร้านอาหารสมัยนี้มากๆ ก็คือ การชาร์ตลูกค้า 10% เป็นค่าเซอร์วิส



โกโก้เย็น



ซึ่ง.....บางร้านบริการดี เอาใจใส่ ยิ้มแย้มแจ่มใส หรือเราเรียกใช้บริการเค้าเยอะ เราก็ยินดีให้ แต่ว่าบางร้าน เช่นร้านนี้ เราสั่งไปแค่น้ำเปล่ากับโกโก้แก้วเดียว และเค้าก็เดินมาเสิร์ฟเราแค่รอบเดียวเท่านั้น และก็ไม่ได้มีการดูแลอะไรเป็นพิเศษเลย แต่ว่าเราต้องเสียเงินตั้ง 10% ของราคาโกโก้ รู้สึกว่ามันไม่แฟร์เลยอ่ะ คือไม่เข้าใจว่าทำไมลูกค้าต้องมานั่งจ่ายสิ่งที่มันควรจะเป็นบริการพื้นฐานอยู่แล้วน่ะ ถ้าจะมาบอกว่า ก็เผื่อลูกค้าไม่ให้ทิป ก็นั่นแหละประเด็น ถ้าพนักงานอยากได้ทิปจากลูกค้า เค้าก็จะต้องบริการดีๆ นะ ไม่ใช่ว่าจะบริการแย่ๆ ยังไงก็ได้ เพราะว่ายังไงชั้นก็ได้ส่วนแบ่งจากเซอร์วิส ชาร์ตอยู่ดี....



เราเคยเจอพนักงานที่มารยาทแย่มาก ในร้านอาหารชื่อดัง ที่พารากอน เป็นแบรนด์ที่งอกมาจากแบรนด์เสื้อผ้า พนักงานเอาที่คีบขนมปังเขี่ยมือเพื่อนเราออกจากจาน เพราะมือเพื่อนเราบังจาน ตอนเค้าจะมาเสิร์ฟขนมปัง แทนที่จะบอกว่าขอโทษครับ แล้วขอให้เพื่อนเราเลื่อนมือออกไป (คงเดาได้ใช่มะ ว่าร้านไหนที่เสิร์ฟขนมปังให้ลูกค้าฟรี ก่อนอาหารที่สั่งจะมา) พอเราถามอะไร เค้าก็ยักคิ้วตอบ เอ่อ...กวนตรีนมากอ่ะค่ะ... แล้วกับพนักงานที่บริการเราแบบนี้อ่ะเหรอ ที่เราจะต้องเสียค่าเซอร์วิสชาร์ตให้ครั้งละไม่ต่ำกว่า 40 บาท บางทีกินเยอะๆ ก็ร่วมร้อยเลยนะ มันไม่ยุติธรรมกับลูกค้าเลยอ่ะ ขอบ่นหน่อยเหอะ



                                      วิวที่มองลงมาจากร้าน "เตี๋ยวหน้าคลัง"






กลับมาที่ Seen Space และทั้ง 3 ร้านที่เราไปกินมา สรุปว่า จะกลับไปกิน “เตี๋ยวหน้าคลัง” อีกแน่ๆ เพราะรสชาติดี แม้จะไม่ใช่แบบที่ชอบมากนัก แต่ก็ยังถือว่ารสชาติดี ไม่ผิดหวัง...ส่วนร้านอื่น คงเก็บไว้เป็นประสบการณ์ และเป็นแค่การรีวิวเท่านั้นแหละ




บันไดตรงกลางนี่แจ่มมาก

ทางเดินเข้าตัวตึก


อ้อ....ตึก Seen Space นี่เค้าวางผังตึกดีนะ โปร่งโล่งดี ตึกไม่เล็ก ไม่ใหญ่ เหมาะกับการเอาท์ดอร์มาก เมื่อไหร่จะหมดหน้าฝนซะทีนะ (ได้ข่าวว่าปีนี้ก็มีแต่หน้าฝนทั้งปีเลยไม่ใช่
เรอะ -*-)  มีรูปตึกมาฝากกันด้วย เอามายั่วให้อยากไป เพราะเราชอบใจมากกว่าหลายๆ ตึกที่อยู่ในซอยทองหล่อนะ



ปล. รูปคราวนี้ ไปกินเอง ไม่ได้ไปทำงาน เลยถ่ายจากกล้องไอโฟนนะ ใช้แอพ Tiltshift บ้างอะไรบ้าง เลยอาจจะไม่ค่อยวิ้งเท่าเอนทรีก่อนๆ ที่ใช้กล้องใหญ่ถ่าย (อยากดูรูปให้ชัด ให้ใหญ่ขึ้น โดยเฉพาะรูปเมนู คลิกที่รูปได้เลยนะจ๊ะ เผื่อบางคนไม่ทันสังเกต)



วันจันทร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2554

V by Sugaroma กับเมนูสุดแสนจะครีเอต




ไปผจญภัยที่ "The Circle ราชพฤกษ์" มา ไปครั้งแรก หลงแล้วหลงอีก ไปครั้งที่สองก็ยังหลง เราไปจากทางพระรามห้า ซึ่งจะยากกว่าไปอีกทาง คือทางสาทร ถ้าใครจะไปที่นั่น ก็แนะนำให้ไปทางเส้นสาทรจะดีกว่า ขับตรงปรื๊ดๆ ก็ถึง ถนนเส้นนี้นี่มันน่ามึนงงจริงๆ


พอไปถึงแล้ว สิ่งที่อยากจะให้มุ่งตรงไปหา ก็คือร้าน "V by Sugaroma" นะ....ต้องลองอ่ะร้านนี้ ชอบวิธีครีเอตเมนู ของเค้ามากๆ เพราะว่าไม่คิดว่าจะเอามาประยุกต์ให้เป็นแบบนี้ได้ด้วย



ซีซาร์สลัดม้วน
เมนูที่เราประทับใจมาก คือ "Ceasar Salad Spring Rolls" (ราคา 105 บาท) มันเป็นซีซาร์สลัดนี่แหละ แต่แตกต่างจากไอ้ที่เคยๆ กินมาอย่างมาก เพราะว่าเค้าเอาผักคอสมาห่อกับแผ่นแป้งปอเปี๊ยะสด แล้วก็หยอดน้ำสลัดซีซาร์ด้านบน วางกรูตองและเบคอนชิ้นเล็กๆ ทอดกรอบ โรยพาร์มิซานชีสขูดฝอยๆ ไปรอบๆ แล้วถ้ายังกลัวจะชีสกันไม่หนำใจ เค้าก็ยังจัดน้ำสลัดซีซาร์ที่ครีมมี่มากๆ ใส่ถ้วยวางไว้ให้จิ้มกันให้สะใจไปเลย ด้านบนน้ำสลัดก็ยังโรยด้วยกรูตอง กับเบคอนกรอบๆ เข้าไปอีก ไม่ตายตอนนี้ แล้วจะไปตายไหน อร่อยลืมตายจริงๆ นะ จานนี้อร่อย กินง่าย และกินเพลิน


จานที่สองนี่ก็ชอบอีกแล้ว เอาวัตถุดิบที่ดูไม่เข้าพวกกันมารวมกันได้ไงก็ไม่รู้ ครีเอตอีกตามเคยนั่นแหละ กับ "Crunchy Wasabi Salmon Fettuccine" (ราคา 185 บาท) เส้นเฟตตูชินี่คลุกกับน้ำมันมะกอกและพริกไทยดำ โรยหน้าด้วยกระเทียมฝานบางๆ ทอดกรอบที่ชิ้นใหญ่สะใจคนชอบกินกระเทียมมาก และเฟตตูชินี่เค้าให้ของกินเคียงคู่มาด้วย มันคือปลาซัลมอนที่กริลล์มาสุกกำลังดี แล้วราดด้วยซอสวาซาบิเผ็ดๆ ฉุนๆ ขึ้นจมูก เผลอคิดไปว่ากำลังกินซูชิเลยอ่ะ แล้วไม่พอนะนั่น ข้างบนปลายังโรยถั่วลันเตาอบกรอบที่บุบๆ ทุบๆ พอให้เปลือกแตกแล้วคลุกกับเกลือเล็กน้อย พอมันมาอยู่บนตัวปลาซัลมอนที่มีซอสวาซาบินะ….สวรรค์เรียกพี่จริงๆ จานนี้ต้องไปลองเองนะ บรรยายไปก็นึกไม่ออกหรอก แต่อารมณ์ก็จะประมาณกินสแนคแจ็ครสวาซาบิอ่ะ



Crunchy Wasabi Salmon Fettuccine

เส้นเฟตตูชินี่เหนียวนุ่ม

ปลาซัลมอนราดซอสวาซาบิ โรยหน้าด้วยลันเตาอบกรอบ


Tuna Melted Panini
ต่อมาเป็นแซนวิช ชื่อชวนให้คิดถึงอิตาเลียนยังไงชอบกล "Tuna Melted Panini" (ราคา 105 บาท)  มันคือขนมปังที่ปิ้งมากรอบๆ แล้วไส้ตรงกลางก็เป็นทูน่าที่คลุกกับมายองเนสรสเปรี้ยวๆ เค็มๆ แต่งรสและกลิ่นด้วยพริกไทยดำ แล้วเอาชีสเยิ้มๆ มาเสริมไว้อีก อร่อยมากนะ แม้หน้าตาอาจจะดูธรรมดาไปหน่อยก็ตาม  เออ แล้วขอบอกว่าเค้าไม่หวงไส้นะ ให้ทูน่ามาเยอะมาก


สองอันสุดท้ายเป็นขนมกินเล่น


อันแรกคือ "Peanut Butter & Chocolate Sandwich" (ราคา 65 บาท)  เค้าเอาเนยถั่วมาทาลงบนขนมปัง ทับกับครีมช็อกโกแลต เค็มๆ มันๆ หวานๆ ขมๆ ดี กินแล้วก็อร่อยไปอีกแบบ เพราะเราชอบกินเนยถั่วอยู่แล้วอ่ะ ถึงขั้นควักจากกระปุกมากินเปล่าๆ อยู่บ่อยๆ






Iced French Chocolate

อีกอันคือ "Nutty Brownie with Ice-Cream" (ราคา 105 บาท) เป็นบราวนี่เนื้อแน่นมาก เหนียวหนุบหนับๆ โรยด้วยอัลมอนต์กรอบๆ ราดซอสช็อกโกแลต แล้วกินคู่กับไอศกรีมวานิลลารสนวลๆ .....หวานชื่นใจ


ปิดท้ายด้วยเครื่องดื่มเย็นๆ ที่เราชื่นชอบ "Iced French Chocolate" (ราคา 85 บาท) มันเป็นเฟรนช์ช็อกโกแลตเย็นๆ ที่หวานน้อยแบบที่ชอบ และมีรสขมนิดๆ ชอบแบบนี้แหละนะ แล้วมันแอบเก๋ด้วยการโรยหน้าด้วยช็อกโกแลตขูดเป็นฝอยๆ มี texture นะนั่น


ใครบ้านอยู่แถวละแวกนั้น หรือไปกันถูกก็จงไป ยังมีอีกหลายร้านที่นั่น ที่น่าอร่อยทั้งนั้น.....เอนทรี่นี้ จริงๆ ไปมาได้ 2 – 3 เดือนแล้วล่ะ แต่เพิ่งว่างเขียนถึง.....ไปคราวหน้า มันอาจจะหลงน้อยกว่าเดิม จนถึงไม่หลงเลย....ขอให้โชคดีในการเดินทาง


ปล. แผนที่ที่ให้ไป ก็หวังว่าจะไม่งง 




Nutty Brownie with Ice-Cream

Peanut Butter & Chocolate Sandwich















คลิกที่ภาพเพื่อขยายใหญ่