วันอังคารที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

The Anna Restaurant & Art Gallery : น้องแกะ และ น้องเครปเค้กที่รัก

เคยได้ยินชื่อร้าน    “Anna Café" กันมั๊ย เมื่อ 10 กว่าปีก่อนร้านนี้เป็นร้านที่ดังมากในละแวกถนนสีลม – สาทร แล้วต่อมาก็ย้ายร้านจากศาลาแดง มาอยู่ที่ถ. นราธิวาส และเปลี่ยนชื่อเป็น “Anna Charlie Café" มาวันนี้เค้ามาได้บ้านเก่าหลังใหญ่อายุ 100 กว่าปีในซ.พิพัฒน์ (ซอยข้างๆ ธนาคารกรุงเทพฯ สำนักงานใหญ่ ที่ทะลุไปออกซอยข้างๆ โรงแรมเอเวอร์กรีน ริมถนนสาทร) มาโมใหม่ให้กลายเป็นร้านอาหารที่ด้านบนเป็นอาร์ต แกลลอรี่


แล้ววันหนึ่งเราก็ได้โอกาสอันดีมาเยี่ยมเยียนร้านที่มีประวัติยาวนานร้านนี้จนได้  แค่เดินเข้ามาหน้าร้าน ก็รู้สึกว่าร้านมันใหญ่ชะมัด  แล้วจะแพงมั๊ยนี่ เพราะหน้าตาภายนอกร้านดูหรูหราใช้ได้เลย แถมพอเดินเข้าไปในร้านก็รู้สึกว่าร้านกว้างขวางดี มีหลายมุมให้เลือกนั่ง ทั่วทั้งร้านสว่างไสวด้วยกระจกใสๆ ที่กรุไว้รอบๆ ร้าน ครั้นเมื่อหยิบเมนูมาชำเลืองตาดูราคาอาหารจานน้อยใหญ่.......โอ้วววววว์.........ปรากฏว่าราคาไม่ได้แพงอย่างที่คิดเลยแฮะ อาหารราคากลางๆ ไม่ถูกนัก แต่ก็ไม่แพง ราคาพอๆ กับร้านในห้างอย่าง Patio หรือ Grayhound Café นั่นแหละ



อาหารที่นี่มันจะมีหลากหลายเชื้อชาติมากเลยนะ บางเมนูก็ประยุกต์ขึ้นมาเองโดยการคิดค้นสูตรของผู้บริหารร้านซึ่งหนึ่งในนั้นเป็นเมนูที่เราชอบมากด้วย มันคือ “ขาหมูผัดกะเพรา”  (ราคา 180 บาท) ชื่อฟังดูอ้วนๆ ใช่มั๊ย ก็นิดนึงนะ แต่ว่าถ้าจะกินแล้ว อย่าได้กลัว.....ตอนแรกได้ยินชื่อก็นึกว่ามันจะเป็นขาหมูกรอบๆ แบบขาหมูเยอรมัน แต่ที่ไหนได้มันเป็นขาหมูพะโล้แบบที่กินกับข้าวขาหมูนี่เอง ทำเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วผัดกับถั่วฝักยาวและใบกะเพราะ มีกะเพราทอดกรอบโรยหน้ามาด้วย จานนี้ต้องกินกับข้าวสวยร้อนๆ จะอร่อยมาก (ข้าวสวยของ “The Anna Restaurant & Art Gallery” เป็นข้าวหอมมะลิเก่า เม็ดเล็กเรียว ที่หุงแล้วไม่แฉะ กินกับอะไรก็อร่อย)



อีกจานที่ชอบมากๆๆๆๆ และถูกใจสุดๆ คือ “เนื้อแกะคลาซาบลังก้า” (ราคา 280 บาท) ที่ชอบเพราะมันเป็นเนื้อแกะนั่นเอง แต่จานนี้เนื้อออกจะเหนียวไปสักหน่อย ถ้าคนไม่ชินกับเนื้อแกะ อาจจะมีบ่นๆ บ้าง แต่ว่าการปรุงออกแนวอาหรับๆ แขกๆ หน่อยนะ ใส่เครื่องเทศเยอะๆ กลบกลิ่นเหม็นสาบของแกะ (แต่เราชอบกลิ่นมันแฮะ) แล้วราดโยเกิร์ตลงไปข้างบน จริงๆ เค้าเสิร์ฟให้กินคู่กับโรตีชิ้นเล็กๆ แต่เราอยากเอาไปกินกับข้าวมากกว่า อร่อยเหมือนกัน ใครชอบกินแบบไหน ก็ลองแบบนั้นแล้วกัน

ส่วนจานนี้เพื่อนที่ไปด้วยกันชอบมาก เพราะมันกลัวอ้วน “The Anna Salad" (ราคา 200 บาท) ทั้งจานมีผักกาดแก้ว โอ๊คลีฟ มะเขือเทศเชอร์รี่ ไก่ต้มฉีก แฮม กุ้ง ไข่ต้ม ราดน้ำสลัดแบบญี่ปุ่นรสชาติซีอิ๊วๆ เปรี้ยวๆ เค็มๆ แล้วโรยหน้าด้วยไข่กุ้ง อร่อยดี เหมาะกับคนกลัวอ้วน เพราะปราศจากครีมและไขมัน




ของคาวอีก 2 จานที่เหลือ ที่วันนี้เค้ายกมาให้ถ่าย ยังมี  “สเต็กปลาดอรี่” (ราคา 250 บาท) ที่เค้าใช้ปลาดอรี่นำเข้า เนื้อเหนียวๆ นุ่มๆ (ชื่อปลาฟังแล้วนึกถึง Finding Nemo) ราดไวท์ซอส กินคู่กับผักต้มและมันบด จานนี้เราดันไปชอบมันบดเค้าแทนแฮะ คือนั่งกินจนหมดเลยอ่ะ เพราะมันบดมันรสชาติเนยๆ นมๆ ดีนะ คนที่ชอบอะไรเลี่ยนๆ แบบเรา คงจะชอบรสชาติแบบนี้เหมือนกัน แล้วเค้าบดมันฝรั่งซะจนเนื้อเนียนเลย



จานสุดท้ายคือ “ก๋วยเตี๋ยวปีนัง” (ราคา 140 บาท) ที่หน้าตาละม้ายคล้ายก๋วยเตี๋ยวคั่ว แต่ต่างจากก๋วยเตี๋ยวคั่วตรงที่ มันอุดมไปด้วยซีฟู๊ดอย่างกุ้ง หอยแครง ลูกชิ้นปลา แล้วแอบมีตบท้ายด้วยกุนเชียงชิ้นโต ตอนจะกินให้คลุกกับซอสพริกเปรี้ยวๆ เผ็ดๆ ที่เค้าเสิร์ฟมาให้กินคู่กัน อร่อยดีนะ กินเพลินๆ จานนี้ได้สูตรมาจากผู้บริหารของร้านเหมือนจานขาหมูนั่นแหละ



ส่วนของหวานนี่ชอบมาก นี่ว่าจะกลับไปซ้ำอยู่เหมือนกัน เพราะว่ามันคือ “สตรอเบอร์รี่ครีมเค้ก” (ราคา 110 บาท) ที่เอาเครปแผ่นบ๊าง บางมาวางเรียงสลับกับครีมสดรสชาตินุ่มนวล แล้วราดด้วยสตรอเบอร์รี่ซอส รสชาติเปรี้ยวๆ หวานๆ อร่อยมากมาย จริงๆ อยากกินเมนูนี้มานานแล้วล่ะ เพราะเวลาอ่านคอลัมน์รีวิวอาหาร แล้วบางร้านมีของหวานเมนูนี้ ก็ได้แต่คิดว่าครีมสดกับเครปมันจะเนื้อนุ่มสักแค่ไหนกันนะ มาวันนี้ได้กินซะที     




อีกจานเป็น “Panacotta Fresh Fruit" (ราคา 120 บาท)  สีสันสวยงามมาก เป็นจานที่ทำให้เราสนุกกับการหามุมสวยๆ มาถ่ายมันเหลือเกิน พยายามหาจุดที่แสงส่องสว่างที่สุด โชคดีผสมโชคร้ายคือ ผ้าปูโต๊ะที่ร้านนี้เป็นสีขาว และโต๊ะที่เอาของมาถ่าย อยู่ติดกับกระจกใสที่แสงส่องถึงแบบจัดจ้า แล้วแสงดีที่ว่าก็ได้ผ้าปูโต๊ะขาวเป็นรีเฟลกซ์ชั้นดี ที่ช่วยสะท้อนแสงให้อาหารมีสีที่เป็นธรรมชาติมากขึ้น แต่ว่าบางทีมันก็มากไป ทำให้อาหารที่มีสีขาว เวลาถ่ายออกมาด้วยแสงปกตินี้ จะขาวจนหาขอบไม่ค่อยเจอ และไอ้ขนมถ้วยนี้นี่แหละที่เป็นปัญหาที่สุด เพราะขนมก็ขาว ถ้วยก็ใส เทคนิคบ้านๆ ที่เราใช้ คือ เอามือไปบังแสงในจุดที่กล้องไม่ได้จับภาพ ก็ช่วยลดทอนแสงโอเวอร์ได้ดีเหมือนกันนะ ภาพจะดูมีมุมมืดขึ้นมาบ้าง


จริงๆ ร้านนี้เค้ามีกิมมิคอย่างหนึ่ง ที่เป็นเอกลักษณ์ของทางร้านมาโดยตลอด นั่นคือการร้องเพลง “แฮปปี้เบิร์ธเดย์” เมื่อมีการเสิร์ฟ ทอฟฟี่ บานอฟฟี่เค้กที่ลูกค้าสั่ง แม้ว่าคนที่สั่งจะไม่ได้เกิดวันนั้นก็ตามที ดังนั้นตลอดเวลาที่นั่งอยู่ในร้าน เราเลยได้ยินเสียงพนักงานร่วมกลุ่มกันร้องเพลง “แฮปปี้เบิร์ธเดย์” ให้ลูกค้าอยู่เป็นระยะๆ  เพราะเมนูทอฟฟี่ บานอฟฟี่ เค้ก เป็นเมนูของหวานขึ้นชื่อของร้านตระกูล “Anna" นั่นเอง



จากที่ไปมาวันนั้น เราสรุปได้ว่า ร้านนี้เป็นร้านที่น่ากลับไปอีกร้านหนึ่งแล้ว เพราะว่าร้านใหญ่มาก ต่อให้คนเยอะยังไง ก็ยังไม่รู้สึกอึดอัด ไม่เหมือนบางร้าน พอคนเยอะหน่อย ก็จะรู้สึกแน่นขึ้นมาในบัดดล ที่สำคัญคือ ราคาของอาหารนี่แหละ ร้านระดับนี้ มีเชฟชื่อดังอย่าง คุณวิชิต ชาญอนุเดช หรือ ‘เชฟชาร์ลี’ ราคา 100 บาทไม่เกิน 500 นี่ จัดว่าไม่แพง (ไอ้เมนูที่เกิน 300 โดยมากมักจะเป็นพวกเนื้อวัวจากนอก เนื้อปลาเทพๆ หรือเนื้อแกะชิ้นใหญ่ๆ นะ แต่ถ้าอาหารปกติก็ราคาไม่เกิน 300.....ร้านใหญ่ บรรยากาศดี ราคาไม่แพง เราเลยต้องเก็บไว้ในสต็อกอีกหนึ่งร้าน ไว้มากับเพื่อนช่างกินในคราวต่อๆ ไป



ใครอยากลองไปกินนะ ร้านหาไม่ยากเลย ถ้าจะนั่งบีทีเอส ให้ลงสถานีศาลาแดง แล้วเดินมุ่งหน้าไปที่ธนาคารกรุงเทพสำนักงานใหญ่ เลี้ยวเข้าสีลมซอย 3 หรือซอยพิพัฒน์ ที่อยู่ข้างๆ ธนาคารนั่นแหละ เดินตรงไป เลี้ยวซ้าย แล้วตรงไปอีกประมาณ 20 เมตร ก็จะเห็นร้าน “The Anna Restaurant & Art Gallery"  แต่ถ้าจะมาจากสาทร ซึ่งจะเป็นทางที่ใกล้กว่า ให้เลี้ยวเข้าสาทรซอย 6 ที่อยู่ข้างๆ โรงแรมเอเวอร์กรีน ตรงไปนิดนึง แล้วเลี้ยวซ้ายไปตามทาง แค่ประมาณ 10 เมตรก็จะเห็นป้ายร้าน และลานจอดรถเด่นเป็นสง่ามาแต่ไกลเลยแหละ โทรไปจองโต๊ะ หรือสอบถามเมนูอาหารได้ที่เบอร์ 02- 237-2788-9    หรือเข้าไปดูที่เว็บไซต์ http://www.theannarestaurant.com/ หรือจะเข้าไปติดตามข่าวสารของทางร้านแบบสนิทชิดใกล้ที่เฟซบุ๊คของร้านก็ได้



(เค้าบอกว่าแต่ละวันจะมีเมนูเซ็ตที่เชฟชาร์ลีคิดค้นขึ้นมาเป็นพิเศษ ที่จะทำออกมาวันละประมาณ 20 จานเท่านั้น ใครอยากรู้ว่าวันไหนมีเมนูพิเศษอะไร ให้ลองโทรไปสอบถามกันดู)



แล้วคราวหน้าจะเอาร้านไหนมาฝาก รอดูกันนะ ตอนนี้ต้องขอตัวก่อนล่ะ บ๊ายบาย



ปล.อยากดูรูปใหญ่ๆ และเยอะกว่านี้ไปดูได้ที่อัลบั้ม Food Food Review Part 2 ในเฟซบุ๊คนะจ๊ะ





The Anna Salad


เสต็กปลาดอรี่


ก๋วยเตี๋ยวปีนัง


Freshy Smoothies (แก้วสีส้ม)
Mix Berry Smoothies (แก้วสีชมพู)




เนื้อแกะคาซาบลังก้า





























วันอาทิตย์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

Gloria Jean’s Coffees: อร่อยจนต้องไปซ้ำ

ก็อย่างที่เคยบอกว่าเป็นคนที่ไม่ค่อยชอบกินกาแฟเท่าไหร่ เพราะว่ามันขม และปกติก็เป็นคนนอนหลับยากอยู่แล้ว พอกินกาแฟเข้าไป มันยิ่งทำให้นอนหลับยากขึ้นไปอีก แล้วก็ไม่ค่อยชอบรสชาติขมๆ ของมันด้วยแหละ แต่ถ้าเอาไปผสมนม ผสมโกโก้ ผสมอะไรต่างๆ นานา ก็จะเพิ่มความน่ากินให้มันขึ้นมาได้อีกเยอะเลย เราก็เลยแอบสั่งมอคคาบ้าง คาราเมล มัคคิอาโต้บ้าง เป็นบางครั้งคราว ไอ้พวกใส่คาราเมลลงไปในกาแฟนี่ชอบมากเลยแหละเพราะมันจะหวานๆ มันๆ เค็มๆ ขมๆ เป็นรสชาติหลายอย่างในคำเดียว อร่อยดี




Crème Brulee
แล้วพอดีว่าเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน ได้ไปถ่ายคอลัมน์ที่ร้านกาแฟแบรนด์ออสเตรเลียชื่อ “Gloria Jean’s Coffees" ที่ K-Village สุขุมวิท 26  ซึ่งพอไปถึงก็รู้ตัวแล้วล่ะ ว่าต้องชิมกาแฟด้วยแน่ๆ ซึ่งก็ไม่ค่อยอยากกินเท่าไหร่ แต่ด้วยหน้าที่แล้ว ก็ต้องกินละนะนั่น.....เลยดีใจมากที่เค้าเอาเมนูนึงมาให้ถ่ายเพราะว่ามันมีคาราเมลผสมอยู่ด้วย มันมีชื่อว่า “Crème Brulee" (แก้วเล็ก 110 บาท / กลาง 125 บาท / แก้วใหญ่ 140 บาท ) กาแฟเอสเพรสโซปั่นราดหน้าด้วยซอสคาราเมล ขมนิดๆ แล้วก็มีรสชาติหวานๆ เค็มๆ มันๆ ของคาราเมลแบบที่ชอบเลย มันไม่ขมเกินไป มันเลยอร่อย



แล้วที่นี่เค้าดีอยู่อย่างคือ ทุกเมนูที่มันน่าจะต้องมีวิปครีมโปะหน้า เค้าจะโปะให้อยู่แล้วเสหมือนว่าวิปครีมเป็นส่วนหนึ่งของเครื่องดื่มแก้วๆ นั้น ไม่ต้องมีการมาจ่ายเพิ่มอีก 5 บาท แล้วถึงจะได้วิปครีมมาโปะ แต่ถ้าใครไม่ชอบกินวิปครีมก็บอกเค้าได้ ว่าไม่ต้องใส่ แต่เราอ่ะชอบกินวิปครีมสุดๆ เลยชอบใจมาก




แล้วก็ที่สำคัญมากอีกอย่างคือ ที่ "Gloria Jean’s Coffees" มีของให้โรยหน้าเครื่องดื่มเยอะดี มีซินนามอน มีเกล็ดช็อคโกแลตรสช็อคโกแลต กับรสสตรอเบอร์รี่ มีน้ำเชื่อม มีซอสช็อค
โกแลต แล้วก็มีผงช็อคโกแลต แบบที่เราเอามาโรยหน้า “Crème Brulee" ของเรานี่แหละ
ของจริงไม่มีผงช็อคโกแลตนะ จะมีแค่ซอสคาราเมลราดมาให้เท่านั้นแหละ (แก้วที่อยู่ในบล็อกเป็นแก้วที่เราไปกินเองที่ร้านสาขา Digital Gateway นะ เพราะว่าวันที่ไปถ่ายคอลัมน์ เนื่องจากของมาเยอะมาก และมาติดๆ กัน แถมบางแก้ว บางจานเป็นของที่ต้องรีบถ่าย เพราะถ้าปล่อยทิ้งไว้นาน ฟองนม ฟองครีมทั้งหลายมันจะเหลวไปซะก่อน เลยทำให้มัวแต่ถ่ายอย่างอื่น จนตอนที่ “Crème Brulee" ยกมาให้ถ่าย เราก็ลืมมันซะสนิทเลย ได้ชิม แต่ดันลืมถ่าย เลยต้องไปถ่ายซ่อมด้วยความเต็มใจ คือไปซื้อมากินเองซะเลย เพราะมันอร่อยจริง อะไรจริง เออ ลืมบอกไป มันเป็นเครื่องดื่ม Signature ของร้านด้วย )




Rosemary Foccasia Ham Cheese and Pesto
ส่วนขนมที่กินเข้าไปแล้วชอบมาก ถึงกับต้องไปซื้อมาซ้ำต่อที่บ้าน มันมีชื่อว่า “Rosemary Foccasia Ham Cheese and Pesto" (ราคา 65 บาท) มันจะหน้าตาเหมือนแซน
วิช ทำจาก Foccasia ขนมปัง
อิตาเลียนที่ด้านบนขนมปังจะ
โรยหน้าด้วยใบโรสแมรี่อบแห้ง
ที่จะทำให้แซนวิชอันนี้มีกลิ่นหอมๆ
ตอนที่เอาไปอุ่นในไมโครเวฟ ส่วน
ที่ทำให้มันอร่อย และทำให้เราติดใจ
ก็คือ แฮม กับ ซอสเพสโต (ซอส
โหระพา) ที่ทาอยู่ด้านในของ
ขนมปัง แฮมมันรสชาติไม่เหมือน
แฮมที่เคยกินน่ะ แต่อธิบายไม่ถูก
ว่าไม่เหมือนยังไง คล้ายๆ จะต่างตรงที่
มันไม่มีรสชาติผงชูรสล่ะมั้งนะ เพราะแฮมสมัยนี้ชอบทำออกมารสหวานแปลกๆ หวานแบบหวานผงชูรสน่ะ ไม่ชอบเลย สรุปว่าแฮมนี่แหละ คือหัวใจของ “Rosemary Foccasia Ham Cheese and Pesto"  แล้วชีสกับซอสเพสโตก็เป็นตัวช่วยให้รสชาติมันหลากหลายมากขึ้น โดยมีโรสแมรี่เป็นตัวเสริม เหมือนผู้หญิงที่สวยอยู่แล้ว แล้วก็แต่งตัวให้สวยยิ่งขึ้น จบด้วยการฉีดน้ำหอมให้ตัวหอมฟุ้งนั่นแหละ




Cheese Cake with Cranberry Sauce
ยังมีขนมอีกสองอย่างที่เราชอบรองลงมาจาก Foccasia นั่นคือ “Cheese Cake with Cranberry Sauce" (ราคา95 บาท) กับ “Banana Marble Muffin" (ราคา 65 บาท) อันแรกเป็นชีสเค้กรสนวลๆ ไม่เค็มมาก ราดด้วยแครนเบอร์รี่ซอสสีแดงๆ รสชาติเปรี้ยวปรี๊ด มีอมหวานหน่อยๆ ตัดกันดีเลยแหละกับรสเค็มนวลๆ ของชีสเค้ก ส่วนอีกอันเป็นมัฟฟิน ที่หน้าตากับรสชาติมันก็เป็นคู่แฝดกับเค้กกล้วยหอมเรานี่เองแหละ เพิ่มความอร่อยตรงที่ใส่ช็อคโกแลตลงไปให้มันเป็นมาร์เบิ้ล (เค้กหินอ๊อนอ่อน) เท่านั้นเอง แนะนำว่าตอนสั่งที่ร้าน ให้บอกพนักงานให้เอาไปอุ่นให้นิดหน่อยนะ แล้วมัฟฟินมันจะอุ่นๆ กรอบนอกนุ่มใน อร่อยกว่ากินมันแบบธรรมดาล่ะ


Iced Tea Mango

ส่วนเครื่องดื่มอื่นๆ ที่เราได้ถ่ายในครั้งนี้ก็ยังมีอีกนะ แต่พอดีว่าไปประทับใจ  “Crème Brulee" เข้าซะแล้ว อันอื่นเลยไม่ได้เน้นที่จะพูดถึงเท่าไหร่นะ แต่คนที่อ่านก็คงอยากรู้ใช่มั๊ยล่ะ ว่ามีอะไรอื่นอีกบ้างที่น่ากิน เอาตัวที่เราชอบๆ ละกันนะ ก็มี Iced Tea Passion fruit / lemon / Mango (แก้วเล็ก 80 บาท / แก้วกลาง 90 บาท / แก้วใหญ่ 100 บาท ) มันเป็นชาจากใบชาเต็มใบ ใส่ในซองผ้าไหมทรงปิรามิด ชงแล้วก็เติมน้ำเชื่อมรสชาติตามชอบ มีให้เลือก 3 รส คือ แพสชั่นฟรุ๊ต เลมอน แล้วก็มะม่วง แก้วที่เราได้กินใส่นำเชื่อมรสมะม่วง ซึ่งมันก็มีรสมะม่วงชัดเจนดีนะ ถูกใจคนชอบมะม่วงอย่างเราเป็นที่สุด คิดว่าอีกสองน้ำเชื่อมที่เหลือก็น่าจะอร่อยไม่แพ้กัน



อีกสองแก้วสุดท้ายที่ชอบคือ  “Classic Hot Chocolate"  (แก้วเล็ก 80 บาท / แก้วกลาง 95 บาท / แก้วใหญ่ 110 บาท ) กับ “GJC's Original Iced Chocolate" (แก้วเล็ก 95 บาท / แก้วกลาง 110 บาท / แก้วใหญ่ 125 บาท ) สองแก้วนี้เป็นช็อคโกแลตร้อนกับเย็น ตัวที่เป็นช็อคโกแลตร้อน จะเค็มๆ มันๆ จากนมสดที่ใส่ลงไปนะ อร่อยดี ส่วนตัวที่เป็นช็อคโกแลตเย็น จริงๆ ที่เค้าขายอยู่เป็นเมนูช็อคโกแลตปั่น แต่เนื่องจากว่าเราไม่ชอบกินอะไรปั่นๆ เลยขอเค้าเอาแบบชงธรรมดา เลยได้เป็นแก้วที่ถ่ายมาให้ดูนี่แหละ ซึ่งลูกค้าปกติก็สามารถสั่งแก้วนี้แล้วบอกว่าไม่เอาแบบปั่นก็ได้นะ ไม่ผิดกติกาแต่อย่างใด อร่อยชื่นใจไม่แพ้  “Crème Brulee"



ถ้าใครเบื่อๆ ร้านกาแฟที่เคยกิน อยากลองอะไรใหม่ๆ ลองแวะไป “Gloria Jean’s Coffees" ดูก็ได้นะ เวลาเราไปทำงานที่ไหน แล้วอาหารร้านนั้นรสชาติถูกปากถูกใจ เราก็จะเก็บเอาไว้เป็นทางเลือกของเรา และมักจะแวะกลับไปกินเองเสมอเลยแหละ



ตอนนี้ “Gloria Jean’s Coffees" ยังมีแต่สาขาที่อยู่ในเมืองนะ เพราะเค้าเพิ่งมาเปิดที่เมืองไทยได้ไม่นาน เลยยังมีสาขาไม่มาก ตอนนี้ก็มีแค่ 3 สาขาเท่านั้น คือ

 - ชั้น 1 อาคารมิดทาวน์ อโศก
    (ตรงข้ามตึก GMM แกรมมี่)
    จ. – ศ. เปิด 7.30 – 19.00 น.
    / ส. เปิด 9.00 – 18.00 น.
    / อา. เปิด 9.00 - 17.00 น.



- ชั้น 3 ดิจิตอล เกตเวย์ สยามสแควร์ (ชั้นที่เชื่อมกับสถานีรถไฟฟ้า BTS) ร้านจะอยู่ด้านหน้า
  บันไดเลื่อนลงชั้นล่าง เปิดทุกวันตั้งแต่เวลา 11.00 - 20.00 น.
 
 - ชั้น 1 โซน บี ที่ เค วิลเลจ (สุขุมวิท 26 หรือ หลังคาร์ฟูร์ พระราม 4) จ. – พฤ.
    เปิด 7.00 – 22.00 น. / ศ. เปิด 7.00 – 22.30 น. / ส. – อา. เปิด 8.00 – 22.30 น.


 และเร็วๆ นี้จะมีสาขาใหม่ที่อาคารมาลีนนท์ด้วย เป็นสาขาที่ 4 ใครใกล้ที่ไหน ก็ไปชิมที่นั่นแล้วกันนะ



Chocolate Lamington
 
Chocolate Lamington

GJC's Original Iced Chocolate

Caffe Latte

Banana Marble Muffin

Classic Hot Chocolate